สงครามสหรัฐ - จีน ส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยอย่างไร

เชื่อว่าเป็นที่หน้าจับตามองของนักลงทุนและประชาชนเป็นอย่างมากสำหรับการแข่งขันระหว่างประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐอเมริกา และ จีน ดำเนินต่อเนื่องมาเกือบ 2 ปี มีการตอบโต้ทั้งวาจาและการตั้งกำแพงภาษีจนทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกมีผลกระทบเป็นอย่างมาก

มุมมองของคุณณัฐ ตรีพูนสุข ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทยจำกัด มองว่า สงครามแบ่งเป็น 2 ส่วนที่มีผลกระทบ ส่วนแรกสงครามทางการค้า ส่วนตัวยังเชื่อว่าการเกิดสงครามแบบจริงๆจังๆยิงกันมีค่อนข้างน้อย ถ้าเป็นประเทศใหญ่กับประเทศใหญ่ฉะนั้นในแง่เศรษฐกิจต้องดูก่อนว่าประเทศไทยพึ่งพาเศรษฐกิจจีนกับสหรัฐมากน้อยแค่ไหน ในภาคของการท่องเที่ยวเชื่อว่าทุกคนรู้อยู่แล้วว่าไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวจีน ส่วนของภาพการส่งออกอันนี้ก็สำคัญเหมือนกันเราส่งออกไปจีนเดือนล่าสุดที่เพิ่งรายงานก็ส่งออกไปจีนคิดเป็นประมาณ 12% แล้วก็ส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็น 16% รวมกัน 28% ถ้าเกิดสงครามทางการค้าแน่นอนว่าภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศของจีนและสหรัฐฯจะต้องชะลอตัวลงในขณะที่เราเป็น Supply Chain ให้กับทั้ง 2 ประเทศ คือไทยส่งตัวของผลิตภัณฑ์เบื้องต้นในการผลิตสินค้าไปให้ทั้ง 2 ประเทศเพราะเศรษฐกิจของเค้าชะลอตัวลงยอดขายของเขาดรอปลงการส่งออกเราก็ดรอปลงเช่นเดียวกัน 

ส่วนข้อเสียกรณีที่เป็นสงครามการค้า ดังนั้นกลุ่มที่กระทบหนักที่สุดเลยชัดที่สุดเลยคงไม่พ้นกลุ่มส่งออกไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของอิเล็กทรอนิกส์กลุ่ม Community รวมถึงปิโตรเคมีต่างๆ กลุ่มพวกนี้อาจจะต้องหลีกเลี่ยงไปก่อนกลับกันพอเกิด เทรดวอร์ ขึ้นเนี่ย หมายความว่าการส่งออกสินค้าจะสหรัฐฯ กลุ่มผู้ผลิตหรือบริษัทต่างๆทำคือการย้ายฐานการผลิต ฉะนั้นเราต้องมาดูกันว่าเราสามารถแข่งกับประเทศอื่นๆได้มากน้อยแค่ไหน อย่างเช่นเวียดนามหรือลาว ภาพลักษณ์วันนี้ทุกคนเห็นกันหมด น่าจะเป็นภาคคอนเฟิร์มว่าไทยมีความสามารถในการแข่งขันค่อนข้างดี เนื่องจากตัวของบริษัท EV ต่างๆมีการย้ายเข้ามา ผลิตในประเทศไทยมากขึ้น ฉะนั้นสรุปรวมฝั่งเสียชัดๆเลยถ้าเกิดเป็น เทรดวอร์ ผู้ส่งออกไม่ว่าจะเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี โรงกลั่น และพลังงานต่างๆอาจจะได้รับผลกระทบ ส่วนฝั่งบวกก็จะมีนิคมอุตสาหกรรม หลักๆในประเทศไทยก็จะมีอยู่ไม่กี่นิคมคือ WHA อมตะนคร Rojana มีตัวที่ได้ประโยชน์จากนิคมอุตสาหกรรมอย่างเช่น WHAUP ทีนี้ถ้าเกิดสงครามจริงๆ เบื้องต้นมันมีแต่ผลลบอยู่และผลบวกอาจจะมีตามมาภายหลัง ผลลบก่อนเลยสงครามที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าเศรษฐกิจทั้งโลกจะชะงัก ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่เซนซิทีฟสูง ดังนั้นผลกระทบเชิงลบจะหนักมาก

 สงครามจะทำให้เศรษฐกิจทุกประเทศทั่วโลกถดถอยและเกิดการชะลอตัวรวมถึงก่อนหน้านี้เองสหรัฐใช้นโยบายหักดิบทางการค้า ก็คือเน้นนำเข้าเป็นส่วนใหญ่เพราะฉะนั้นแล้วเศรษฐกิจทั่วโลกจะชะลอตัวตามดังนั้นเศรษฐกิจไทยคงจะหนีไม่พ้นจากตรงนี้เพียงแค่ว่าข้อดีถ้าหากว่าเกิดภาวะถดถอย ในปีนี้เลยประเทศไทยเราเองจะได้ภาคการท่องเที่ยวคอยประคองเศรษฐกิจให้มาแย่กว่าประเทศอื่นๆ คงไม่ใช่ว่าดีขึ้นมาเลยแค่ช่วยประคองไว้ไม่ให้แย่กว่าประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศอื่นๆ อีกหนึ่งเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเกิดสงครามหรือเรื่องของการเกิดภาวะถดถอย คือเราจะเห็นว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องของโควิดหรือช่วงที่เกิดเทรดวอร์ ต่างชาติมองค่าเงินบาทไทย Safe Haven เนื่องจากภาระหนี้สินตัวของความขัดแย้งทางการเงินสถานะทางการเงินของเราอยู่ในระดับที่ดีมาก จากนั้นก็เกิดการที่นำเงินเข้ามาเป็นสกุลเงินไทยบาท พอเข้ามาเป็นสกุลไทยบาทบาทแข็งผลกระทบคือยอดการส่งออกของเราก็ได้รับผลกระทบด้วยอันนี้เป็นอีกมุมนึงที่เป็นมุมลบ

อีกหนึ่งเรื่องถ้าเกิดสงครามหุ้นที่จะเลือกก่อนอื่นเราจะมาดูหุ้น Domestic Play ก่อน อย่างต่อไปเราจะมาดูหุ้นที่มีความเซนซิทีฟกับตัวของภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างต่ำ เราก็มาดูกันว่าเกิดสงครามต้นทุนต่างๆ มีโอกาสที่จะปรับตัวลง ไม่ว่าจะเป็นตัวของปิโตรเคมีต่างๆ และราคาน้ำมัน แต่ได้ดูข้อมูลย้อนหลังราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นแค่เพียงระยะสั้นเท่านั้น ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง คนต้องการใช้คอมมูนิตี้ต่างๆจะลดลง แล้วก็อาจจะไปดูตัวที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมา ในขณะที่ตอนนั้นน่าจะใกล้เลือกตั้งแล้ว หรือตอนที่เกิดสงครามขึ้นจริงๆอาจจะเลือกตั้งไปแล้ว พอเลือกตั้งไปแล้วผมเชื่อว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาและแน่นอนเงินจะเข้ามาสู่ อินฟราฟันต์ก่อน อาจจะเป็นตัวของ Susco ที่ดูน่าสนใจหรือ WHAUP ยังเป็นช้อยส์แรก

อย่างไรก็ตามมุมมองในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงอยู่เยอะมาก สำหรับตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ใช่เพียงแค่ตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ ในเรื่องของสงครามที่มีความเสี่ยงอาจเกิดได้น้อยผลการเลือกตั้งและความไม่แน่นอนทางการเมือง น่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนควรที่จะลดพอร์ตการลงทุนมาในระดับนึงก่อน และถ้าหากเกิดปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงมาคงต้องตั้งสติดีๆ ในช่วงโควิดเราจะเห็น 1000 จุดหรือ 900 กว่าจุด หุ้นว่างแล้วไม่มีใครกล้าซื้อแล้วพอมันฟื้นขึ้นมา มันจะฟื้นขึ้นมาค่อนข้างเร็ว ดังนั้นถ้าเกิดเราลดพอร์ตลงมาแล้วในระดับนึง ในจังหวะที่คนกลัวมากๆ วันนั้นเราอาจจะขยับเข้าไปซื้อบ้างเล็กน้อยเพื่อที่ว่าเวลามันฟื้นตัวเราจะได้เอ็นจอยไปกับการฟื้นตัวในครั้งนั้น

#StockReview #สกู๊ปพิเศษ #ภาวะถดถอย #สงครามสหรัฐจีน #ข่าวเศรษฐกิจ