บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส มองเศรษฐกิจเอเชียฟื้นตัวได้ดีผลจากจีนเปิดประเทศ ขณะที่สหรัฐยังเผชิญดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง แนะเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นเอเชีย และตราสารหนี้ราคาลงต่ำเป็นโอกาสเข้าซื้อ ส่วนตลาดหุ้นไทยได้ปัจจัยบวกระยะสั้นจากเงินสะพัดเลือกตั้งถึง 1.2 แสนล้าน -ท่องเที่ยวฟื้นแข็งแกร่ง ส่วนปัจจัยลบแนะกลยุทธ์ 7 ธีมเด่นน่าลงทุนรวมทั้งหุ้นได้ประโยชน์จากเงินเลือกตั้งสะพัด-ท่องเที่ยวฟื้นตัว-สังคมสูงวัย-หุ้นไซเบอร์ซิเคียวริตี้ เตือนปัจจัยเสี่ยง”ค่าเงินผันผวน-การเมืองระหว่างประเทศ-นโยบายรัฐบาล-เทคโนโลยี -ศก.สหรัฐและยุโรปส่อถดถอย”
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (DBSV) จัดสัมมนา "เจาะตลาดหุ้นไทย & เทศกับเซียนหุ้น & นักวิเคราะห์ชั้นนำ " โดยนายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุลผู้อำนวยการบริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่าจะปรับขึ้นเพียง 0.25% แทนที่จะปรับขึ้น 0.50% เนื่องจากปัญหาในกลุ่มธนาคาร ขณะที่เงินเฟ้อเริ่มแผ่วลง แต่ยังคงสูงอยู่ในหลายประเทศโดยเฉพาะชาติตะวันตก ทำให้แนวนโยบายการเงินยังคงเป็นแบบเข้มงวด
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจ มองว่าระบบการเงินสหรัฐและโลกน่าจะมีความแข็งแรงเพียงพอในการรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ยังต้องให้ความสำคัญกับการคุมเงินเฟ้อ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเอเชียยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่าเศรษฐกิจจีนปีนี้โตดีกว่าที่เคยคาดไว้ จากนโยบายเปิดประเทศและมาตรการหนุนเศรษฐกิจ ส่งผลให้เศรษฐกิจในเอเชียได้แรงหนุนจากการขยายตัวเศรษฐกิจจีนไปด้วย
นายธนวัฒน์ กล่าวว่า แนะนำ “Overweight” หุ้นเอเชีย โดยปัจจัยบวกคือการเปิดประเทศของจีน การใช้นโยบายหนุนบริษัทกลุ่ม platform และหนุนการบริโภคในประเทศ แต่โดยรวมแล้ว ยังให้ “Neutral” กับหุ้นโลกและหุ้นสหรัฐ เพราะดอกเบี้ยสูงอีกนานเป็นตัวถ่วง ส่วนตราสารหนี้ ยังคง Overweight เนื่องจากอัตราผลตอบแทนหรือ Yield ตราสารหนี้เอกชนเกิน 5% นับเป็นแหล่งสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ ช่วยลดความผันผวนพอร์ต
“แนวโน้มเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน แต่ราคาตราสารหนี้และหุ้นอยู่ในระดับต่ำแล้ว ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่จะโยกเงินเข้ามาลงทุน โดยแนะนำให้ลดน้ำหนักหุ้นสหรัฐลงเหลือ 50% จาก 56%, เพิ่มยุโรปเป็น 14% (จาก 8%), ลดญี่ปุ่นเหลือ 10% (จาก 12%), เพิ่ม Asia ex-Japan เป็น 26% จาก 24%”นายธนวัฒน์กล่าว
ส่วนธีม เด่น ยกหุ้นในกลุ่ม Cybersecurity ซึ่งถือเป็น ธีมลงทุนระยะยาว ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ในยุคที่เศรษฐกิจเข้าสู่การเป็นดิจิทัล ทำให้บริษัทต่างๆเพิ่มการใช้จ่ายด้าน Cybersecurity เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการโจมตีทางไซเบอร์ โดยการสำรวจล่าสุดพบว่า ประมาณ 70% ของบริษัท มีแผนเพิ่มค่าใช้จ่ายด้าน Cybersecurity เทียบกับ 55% ในปีก่อนหน้า
โดยแนะนำบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ได้เปรียบจากฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง นำเทคโนโลยีด้าน Cybersecurity มาต่อยอด ขายให้กับฐานลูกค้าทั่วโลกโดยตลาดเอเชีย แปซิฟิค เป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพเติบโตสูง เพราะมีการใช้ข้อมูลและระบบออนไลน์สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ส่วนปัจจัยความเสี่ยงที่ต้องระวังคือความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน, การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล, การเมืองระหว่างประเทศ, เทคโนโลยี, สภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม
นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวน โดยระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจาก เงินสะพัดจากการหาเสียงเลือกตั้ง ราว 1-1.2 แสนล้านบาท ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และยังได้ปัจจัยบวกจากแนวคิดตลาดหลักทรัพย์ที่จะเสนอกระทรวงการคลัง ปัดฝุ่นนำกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund หรือ LTF ) กลับมาใช้ เพื่อให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี กระตุ้นให้เกิดการลงทุน
อย่างไรก็ตาม ระยะกลาง และระยะยาว ตลาดหุ้นไทยยังเปราะบาง มีหลายปัจจัยลบรุมเร้าที่คอยกดดันปัจจัยภายนอก เช่น ปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐ และยุโรป ที่ทำให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น และปัญหาเงินเฟ้อ ถ้าลดลงช้าก็อาจทำให้ดอกเบี้ยทรงตัวในระดับสูงนานกว่าคาดเศรษฐกิจสหรัฐ และยุโรปชะลอตัว และอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะต่อไป ทั้งนี้ เฟดปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐปี 2023 จากเดิม 0.5% เป็น 0.4% และ ปี 2024 เดิม 1.6% เหลือ 1.2% ซึ่งความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกจะกระทบต่อภาคการส่งออก และภาคท่องเที่ยวของไทยตามไปด้วย นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงจากปัญหาประเทศฐานะการคลังที่อ่อนแอ มีหนี้สินอยู่ในระดับสูง ต้องเผชิญภาระดอกเบี้ยจ่ายมากในช่วงดอกเบี้ยแพง รวมทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยืดเยื้อ และโรคระบาด
ขณะเดียวกัน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยแบบ K-Curve และเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อาจส่งผลต่อความเสี่ยง NPL และตั้งสำรอง ECL สูงในระบบสถาบันการเงิน รวมถึงต้องติดตามการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งว่าจะใช้เวลามากกว่าคาดหรือไม่ ถ้าใช้เวลานานก็จะทำให้เกิดสูญญากาศทางการเมือง การลงทุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนจะล่าช้าออกไป นอกจากนี้ การขึ้น-ลงของหุ้นDELTA ก็มีผลต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของดัชนี ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยผันผวน
นางสาวอาภาภรณ์ ระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คือ ผลเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาล ราคาน้ำมันเงินเฟ้อ และทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป จีน อาเซียน และไทย สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ ควรเน้นเก็งกำไรระยะสั้นไปก่อน ส่วนการซื้อลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำให้รอสะสมหุ้นพื้นฐานดีจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว
โดยมี 7 ธีมเล่นสั้น และ ลงทุนยาว ที่น่าสนใจ ประกอบด้วย 1.ธีมหุ้นได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยใกล้จะถึงจุดสูงสุด (Peak) 2.ธีมราคาก๊าซ & ราคาถ่านหินร่วงแรง โดย หุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ คือ กลุ่มโรงไฟฟ้า, วัสดุก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์ 3.ธีมท่องเที่ยวฟื้นตัว 4.ธีมเงินสะพัดจากการหาเสียงเลือกตั้ง 5.ธีมหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศแปรปรวน (Climate Change) 6.ธีมสังคมสูงวัย (Aging Society และ7.ธีมความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security)
ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเลือกตั้งของไทยในปี 2023 จะกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ประมาณ1.0-1.2 แสนล้านบาท ใน 2Q23 หรือคิดเป็น 0.5%-0.7% เมื่อเทียบกับ GDP จากการประเมินของม.หอการค้าไทย (UTCC)
หุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกจากการเลือกตั้ง AOT ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับภาคท่องเที่ยวแนวโน้มกำไรฟื้นตัวสูง จากการยกเลิกให้ส่วนลดคู่ค้า มาร์จินสูงขึ้น รายได้จากสัมปทานเพิ่มมากขึ้น
หุ้น CPN คาดกำไรสุทธิปี 23F โต +20% จากการท่องเที่ยวฟื้นตัว การให้ส่วนลดค่าเช่ากับร้านค้าน้อยลง มีการเปิดมอลล์ต่อเนื่อง หุ้น AMATA จะได้ประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาลชุดใหม่ คาดยอดขายนิคมปี 23F /24F เพิ่มขึ้น มียอด Backlog 6.7 พันล้านบาท คาดการณ์กำไรสุทธิปี 23F-24F เติบโต 56% และ 30%
สำหรับหุ้น SIRI คาดปี 23F ทำสถิติกำไรสูงสุด จากการเปิดขายโครงการใหม่ มูลค่ารวม 7.5 หมื่นล้านบาท และจะบันทึกกำไรขาย รร.นานาชาติ 480 ลบ.ในปีนี้ หุ้น SC ประมาณการปี 23F เพิ่ม 7%และ 24F เพิ่ม 5% กำไรโต y-o-y สูงขึ้น จากรายได้ขายคอนโด การให้เช่า และกำไรจากบริษัทร่วม ปีนี้และปีหน้าจ่ายปันผลสูง ยิลด์ 6.2%
หุ้น ADVANC การบริโภคฟื้นตัว การขยายคลื่นความถี่ต่อเนื่อง ตั้งเป้าเข้าซื้อ JASIF และ TTTB สำเร็จใน 2Q23 ธุรกิจปี 2023F กระเตื้องจากการยกเลิกแพ็คเกจราคาถูก จ่ายปันผลดี 3.9-4% ต่อปี หุ้นCPALL ได้ปัจจัยผลบวกจากการเลือกตั้ง มีเม็ดเงินหมุนเวียนสูง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อไทย ชะลอตัว รูปแบบธุรกิจบริษัทมีหลากหลาย ทั้งร้านสะดวกซื้อ 7-11 ค้าส่งแมคโคร และ ค้าปลีกเทสโก้ โลตัส แนวโน้มผลกำไรใน 1Q23F เติบโตขึ้นเทียบกับปีต่อปี
หุ้น BDMS คาดกำไรสุทธิทั้งปี 2023F-2024F เติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี ได้ปัจจัยหนุนที่คนไข้ต่างชาติเพิ่มจาก CLMV และ จีน ฐานคนไข้ประกันสังคมมีโอกาสเพิ่มขึ้น
หุ้น STEC รายได้และมาร์จิ้นดีขึ้นเทียบ YoY มีงานในมือ สูง 1.1 แสนล้านบาท ทำให้การรับรู้รายได้มั่นคงไปใน 3 ปีข้างหน้า คาดกำไรสุทธิปี 2023F/24F จะเติบโต หุ้น SAWAD เมื่อมีการเลือกตั้ง ธุรกิจเช่าซื้อคึกคัก ปี 2023F ธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์เป็น key growth driver ตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 25-30% ในปี 2023F ส่วนรายได้ Fee เติบโต 30% คาดกำไรสุทธิปี 2023F เติบโต 25%
ด้านนายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า SET50 การปรับตัวขึ้นยังไม่พ้น 970-980 พักฐานลงมา มีแนวรับหลักที่ 940-930 ต้องไม่หลุดต่ำกว่าจึงจะพักฐานสั้นหากหลุดต่ำกว่าจะเปลี่ยนทิศทางเป็นลงระวังการทดสอบ 900 หรือต่ำกว่าได้ ดูที่บริเวณแนวรับเป็นหลักหากไม่ลงหลุดต่ำกว่าจะเป็นการสร้างฐานทดสอบแนวต้านอีกครั้ง ผ่านได้จะมีแนวต้าน 1000/1020 ตอนนี้แกว่งตัวรอการเบรก
ขณะที่ทองคำ เป็นการแกว่งตัวขึ้นทดสอบจุดสุดเดิมที่ 2050-2070 ระยะสั้นหากจะเป็นการแกว่งตัวขึ้นต้องไม่หลุดต่ำกว่า 1975/1950 จะเป็นการพักฐานไม่นานเพื่อรอทดสอบอีกครั้ง ส่วนการลงหลุดต่ำกว่าระวังเป็นการแกว่งตัวลง ส่วนค่าเงินบาท ทิศทางระยะสั้นเป็นการอ่อนค่าเพื่อทดสอบแนวต้าน 35/35.5 หากยังไม่หลุดต่ำกว่า 34 ยังไม่เปลี่ยนทิศทาง
นายสมนึก จันทร์รัสมี ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์มุมมองทางเทคนิค บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่าภาพระยะกลาง สถานะของ SET Index ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ใน“ทิศทางขาลง” {จนกว่าจะยืนเหนือระดับ1750 จุด } ดังนั้นการปรับขึ้นใดๆ ของ SET Index ที่อยู่ใต้ตัวเลขนี้ จึงมีสถานะเป็นแค่การ “รีบาวด์ทางเทคนิค”เท่านั้น
ระยะสั้น ก็ดูเหมือนว่า SET Index จะสูญเสียภาพของการรีบาวด์ฯไป (จากการที่เคลื่อนตัวที่“ต่ำกว่า1600 จุด”) ซึ่งหากยังไม่สามารถกลับมา“ยืนเหนือ”ระดับดังกล่าว ก็จำเป็นอย่างยิ่งว่าตลาดฯจะลงมาสร้างฐานในตำแหน่ง 1500 จุดลงมา (หรือ“1450 – 1400” หรือ “ต่ำกว่า”ได้อีกด้วย)
สำหรับกลยุทธ์การเก็งกำไร กรณี “SET INDEX” สูงกว่า 1600 จุด ให้เน้น“ซื้อค่าบวก” เพื่อลุ้น/รอขาย ที่แนวต้าน 1650+/- (หรือไม่เกิน 1700 จุด) ส่วนกรณี “SET INDEX”ต่ำกว่า 1600 จุด ให้เน้น“ซื้ออ่อนตัว” โดยเฉพาะกับ“ตำแหน่งที่ 1500 จุด”ลงมา {ซึ่งหมายถึง 1500, 1450 – 1400 (หรืออาจ“ต่ำกว่า 1400 จุดได้อีก)