เป็นที่น่าจับตามองของประชาชนและนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างมาก สำหรับการเลือกตั้ง ปี 2566 แม้จะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนตามตลาดทุนทั่วโลก แต่นักวิจัยและนักเศรษฐศาสตร์ยังมองภาพรวมหลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ว่าการท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ดีในช่วงปลายปี 2566 ด้านส่งออกไทยยังคงน่าเป็นห่วง
มุมมองตลาดทุนอย่างนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส มองว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง Q2 ปี 2566 ยังผันผวน เพราะติดอยู่กับความกังวลดอกเบี้ยฯ ขาขึ้น,ปัญหาระบบสถาบันการเงินและความเสี่ยงเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยวงจรความกังวลมีจุดเริ่มต้นมาจากการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ เพื่อสกัดเงิน ซึ่งในช่วงไตรมาสแรก เริ่มเห็นผลกระทบมายังภาคสถาบันการเงินสหรัฐฯ และยุโรป เริ่มประสบปัญหาสภาพคล่องก่อนที่ FED และ SNB จะเข้าช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
ทั้งนี้แนวโน้มภาพรวมของเศรษฐกิจและการเลือกตั้งตอนนี้เมื่อเทียบ 10 ปีที่แล้ว กับ 10 ปีล่าสุดศักยภาพของการเติบโตของประเทศเราด้อยลงไปมาก เพราะฉะนั้นถ้าเราคาดหวังถึงการเลือกตั้งในครั้งนี้ เราอยากจะเห็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและสามารถที่จะขับเคลื่อนมาตรการ หรือนโยบายต่าง ๆ ในการที่จะสร้างการเติบโตให้เศรษฐกิจได้ หากว่าได้พรรคใดพรรคหนึ่งแลนด์สไลด์ ต้องหวังพึ่งพรรคอื่นๆ การเดินนโยบายที่วางไว้จะทำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ถ้าเป็นพรรคร่วมหลายๆพรรค บางทีการเกลี่ยการกระจาย การประนีประนามในเรื่องของการเดินนโยบาย มันอาจจะเป็นอะไรที่ไม่สมูธเท่าเพราะฉะนั้นตลาดมักชอบอะไรที่ดูแล้วเป็นไอเดียสดๆใหม่ๆ ในการที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นถ้านโยบายสดใหม่แล้วเป็นเเลนด์สไลด์ ก็จะถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องดูว่าเสถียรภาพอย่างอื่นๆผสมผสานกันไป ซึ่งมองว่าก็มีหลายแง่มุม ทั้งภาคการท่องเที่ยวภาคอุตสาหกรรม ยังมี โรงงานที่รอขับเคลื่อน ในการที่จะสร้างการเติบโต หรือแม้กระทั่ง ภาคของสถาบันการเงิน ตัวที่มีการเกี่ยวเนื่องกับแหล่งเงินทุน อยากที่จะเห็นภาพแบบนี้ที่มันดูดีขึ้นมา
สำหรับมุมมองด้านตลาดเงินอย่าง ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) มองว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจคิดว่าการเมืองไทยในช่วงก่อนเลือกตั้งก็เดินหน้าไม่ได้มีปัญหาอะไร อีกประมาณ 3 สัปดาห์เข้าสู่การเลือกตั้งยังมองบวก แต่คิดว่าหลังเลือกตั้งมีคำถามที่ต้องตอบ 3 คำถาม คำถามทั้ง 3 ข้อนี้อาจจะใช้เวลา 2 เดือนในการตอบ คำถามมีดังนี้ 1.รัฐบาลชุดใหม่เป็นรัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากหรือไม่ 2.พรรคที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งสอดคล้องกับการโหวตหรือไม่ 3. นายกรัฐมนตรีมาจากเสียงข้างมากหรือไม่ 3 คำถามนี้จะนำมาซึ่งจุดเริ่มต้นที่จะรู้ถึงการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศไทย คะแนนเสียงข้างมากเป็นสิ่งสำคัญเพราะมันนำมาซึ่งเสถียรภาพของทางการเมือง ถ้าเกิดมีการสนับสนุนของรัฐบาลก็จะทำให้ นโยบายเศรษฐกิจต่างๆเกิดขึ้นได้ ไม่แน่ใจว่าในท้ายที่สุดจะหยิบยกนโยบายไหนมาทำก่อนถ้าเกิดว่ามีเสียงอยู่ในสภาก็จะทำให้นโยบายที่อยากจะหยิบยกขึ้นมาเกิดขึ้นได้จริงเพราะฉะนั้นเรื่องของคะแนนเสียงข้างมากสำคัญต่อเสถียรภาพทางการเมือง
เมื่อมองย้อนกลับไป 4 ปีที่แล้ว จะมีภาพของรัฐบาลที่มาจากหลายพรรค มากกว่า 20 พรรค มีพรรคเล็กๆเข้ามาร่วมด้วย พรรคเล็กๆได้เสียงจากปาร์ตี้ลิสต์ ที่ทำให้ได้เข้ามาแต่ว่ารอบนี้ มีการปรับสูตรการคำนวณปาร์ตี้ลิสต์พรรคเล็กอาจจะเข้ามาได้ไม่ง่ายในรอบนี้ดังนั้นรัฐบาลชุดใหม่อาจจะประกอบด้วยพรรคไม่เยอะ น่าจะประกอบด้วยพรรคไซส์ใหญ่ รอบนี้เสถียรภาพคะแนนเสียงข้างมากน่าจะมีไม่น้อยกว่ารอบที่แล้ว เพราะฉะนั้นทำไมเราถึงเชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการบริโภค ซึ่งเป็นด้านบวกกับเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปีอาจจะไม่ได้มีตัวเลขว่าเท่าไหร่แต่ว่าเชื่อว่าจะมีเสถียรภาพมากกว่า 4 ปีที่แล้ว
สำหรับจีดีพีประเทศไทยหลังจากการเลือกตั้งคิดว่าการท่องเที่ยวจีนเข้ามาในช่วงปลายปี น่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเริ่มรันประเทศเพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่รัฐบาลใหม่ น่าจะช่วยกระตุ้น2 อย่างให้ดีขึ้น คือ การบริโภคในประเทศและการท่องเที่ยวเราอยู่ท่ามกลางโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ท่ามกลางการส่งออกที่ยังติดลบ ปีที่แล้วส่งออก ไตรมาสสาม บวก 5% ไตรมาสสี่ติดลบ 10% สำหรับไตรมาสแรกปีนี้บวก อย่างที่เห็นยังติดลบอยู่ 5% เราอยู่ในประเทศที่ยังไม่เห็นการส่งออกจะเป็นบวกได้อย่างรวดเร็ว หรือว่าแข็งแรงเพราะฉะนั้น 2 อย่างที่น่าจะเป็นสิ่งสำคัญของประเทศ และน่าจะเป็นปัจจัยที่รัฐบาลใหม่มาไม่ว่าจากพรรคใดก็ตามน่าจะพยายามขับเคลื่อน 2 อย่างนี้ และยังมองเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 4.3% ปรับลดลงมาจากปีที่แล้ว 4.5% ครึ่งปีแรกเรามอง 2.9% และครึ่งปีหลัง 5.7% เฉลี่ยทั้งปีก็คือ 4.3%
อย่างไรก็ตาม มุมมองในตลาดหุ้นของนักวิจัยและนักเศรษฐศาสตร์ ประเมินว่ามีหลายกลุ่มที่ได้รับกระแสเชิงบวกจากนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของแต่ละพรรคการเมือง ส่วนใหญ่ยังคงเน้นการช่วยเหลือปากท้องของประชาชนเป็นหลัก ส่งผลดีต่อกลุ่มท่องเที่ยว , อาหาร ,พาณิชย์ , BANK และกลุ่มอื่น ๆ ส่วนเรื่องที่ยังคงหน้าเป็นห่วงคือเรื่องการส่งออก ทั้งนี้จะเป็นไปตามการวิเคราะห์ของนักวิจัยและนักเศรษฐศาสตร์หรือไม่นั้น ต้องรอติดตาม 6 เดือนหลังจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้ดำเนินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ก่อนการเลือกตั้ง
#AsiaPLUS #StandardCharteredBank #เอเซียพลัส #สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด #สกู๊ปพิเศษ #StockReview