กระทรวงพลังงาน ชี้แจงประเด็นทุกข้อสงสัยทั้งเรื่องค่าการตลาด ค่าการกลั่น ปริมาณสำรองไฟฟ้า รวมทั้งพร้อมติดตามสถานการณ์ด้านพลังงานที่ยังคงผันผวนทั่วโลกอย่างใกล้ชิดวอนพรรคการเมืองนําเสนอนโยบายเพื่อความมั่นคงยั่งยืนระยะยาว
ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เผยว่า สถานการณ์ ด้านพลังงานยังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย ยูเครน ส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ในหลายๆ ประเทศ รวมทั้งส่งผลต่อราคาพลังงานในประเทศ โดยกระทรวงพลังงานยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้ง ได้ประสานหน่วยงานภายในเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือปัญหาด้านพลังงานที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงพลังงาน ได้ดำเนินหลายมาตรการในการช่วยเหลือประชาชนทั้งในส่วนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าไฟฟ้า เพื่อให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตราคาพลังงานดังกล่าวได้ ส่งผลให้ภาครัฐต้องรับภาระทางด้านงบประมาณ ทั้งในส่วนของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และภาระทางด้านการเงิน ของ กฟผ.
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่สถานการณ์ราคาพลังงานได้ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น กระทรวงพลังงานมีความพยายามในการทยอย ปรับราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและเป็นธรรม ไม่ให้เป็นการสร้างปัญหาด้านงบประมาณในอนาคต รวมถึงเสริมสร้าง ให้เกิดการแข่งขันในตลาดพลังงาน นอกจากนั้นกระทรวงพลังงานยังได้คำนึงการพัฒนาพลังงานเพื่อสอดรับเป้าหมายความเป็นกลาง ทางคาร์บอน ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และการส่งเสริมการใช้พลังงาน อย่างมีประสิทธิภาพในเชิงรุก เช่น เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ก็ได้มีการออกกฎหมาย BEC และประกาศใช้อย่างเต็มรูปแบบสำหรับอาคารใหม่หรืออาคารดัดแปลงที่มีขนาด 2,000 ตร.ม. ขึ้นไป ต้องออกแบบให้มีการใช้พลังงาน ในแต่ละส่วนที่กำหนดให้เป็นไปตามเกณฑ์การใช้พลังงานตามมาตรฐานขั้นต่ำ
นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน เผยว่า จากการมีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับค่าการตลาด และค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูงนั้น สนพ. ขอเรียนชี้แจงว่า เนื่องจากการคำนวณค่าการตลาดและค่าการกลั่นนั้น มีหลักเกณฑ์ การคำนวณราคาเพื่อใช้อ้างอิง แต่ไม่สามารถบังคับหรือตั้งราคาให้กับผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ เนื่องจากไทยใช้ระบบการค้าน้ำมัน อย่างเสรี แต่ สนพ. ก็ได้ติดตามสถานการณ์ด้านราคาอย่างใกล้ชิด และใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการขอความร่วมมือ จากผู้ค้าน้ำมันในการปรับค่าการตลาดในช่วงที่ราคาน้ำมันมีความผันผวน อีกทั้งยังใช้มาตรการลดการเก็บภาษีต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบให้น้อยที่สุด รวมทั้งได้บริหารจัดการปริมาณสำรองน้ำมันเพื่อสร้างความมั่นคง
นายกัลย์ แสงเรือง รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน (สกพ.) เผยว่า สกพ. ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้านั้น ชี้แจงว่าได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ ในการบริหารจัดการเพื่อให้ต้นทุนค่าไฟฟ้า ส่งผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาทั้งเรื่องการเปลี่ยนผ่านผู้รับสัมปทานที่ทำให้ ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติลดลงในช่วงแรก ประกอบกับราคา Spot LNG ที่นำเข้าอยู่ในระดับสูง สกพ. จึงได้บูรณาการ ความร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน กฟผ. และ ปตท. เพื่อบริหารจัดการปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่มีราคาต่ำกว่า Spot LNG เพื่อให้ค่าFt หรือค่าไฟฟ้าผันแปรมีต้นทุนที่ต่ำที่สุด และมั่นใจว่าค่า Ft ในรอบเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม ทั้งของครัวเรือนและธุรกิจอุตสาหกรรมจะกลับมาใกล้เคียงกับค่า Ft รอบกันยายนถึงธันวาคม 2565
นอกจากนั้น ยังมีการส่งเสริม การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ทั้งการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์พลังงานลม และการผลิตไฟฟ้าจากขยะ โดยที่ผ่านมา กกพ. ได้ออกระเบียบประกาศหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานดังกล่าวตามนโยบายของภาครัฐ รวมทั้งกำหนดมาตรการ ปลดล็อคปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นไป ในทิศทางเดียวกับกระแสโลกที่ต้องการพลังงานที่สะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนั้น ยังสร้างความมั่นคง ด้านการผลิตไฟฟ้า โดยไทยมีสถิติคุณภาพการบริการไฟฟ้าอยู่ในลำดับต้น ๆ ของอาเซียน สามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ให้เข้ามาตั้งโรงงานในประเทศ
#กระทรวงพลังงาน #พลังงาน #นโยบาย #ข่าวการเมือง #ข่าวสิ่งแวดล้อม #StockReview