หลักทรัพย์บัวหลวง ชู 3 กลยุทธ์เด่น รักษาความเป็นผู้นำธุรกิจหลักทรัพย์ พร้อมมองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2566
หลักทรัพย์บัวหลวง พร้อมย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจหลักทรัพย์เมืองไทย ผ่าน 3 กลยุทธ์ 1. สร้างความมั่นใจ 2. สร้างองค์ความรู้ 3. พัฒนานวัตกรรมและบริการ เพื่อให้ตอบโจทย์นักลงทุนอย่างครอบคลุม พร้อมมองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2566สถานการณ์เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยเริ่มคลี่คลาย จีนเปิดประเทศเร็วส่งภาคการท่องเที่ยวเติบโต คาดเลือกตั้งหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจคึกคัก พาแนวโน้มตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนดี
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ หลักทรัพย์ บัวหลวง เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจหลักทรัพย์ในปี 2566คาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากสถานการณ์เศรษฐกิจในภาพรวม โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกเริ่มคลี่คลายทั้งเรื่องเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจในประเทศจะได้รับประโยชน์จากการที่จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด หนุนภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวชัดเจน นอกจากนี้การกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหญ่ จะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจคึกคักหากรัฐบาลใหม่มีสเถียรภาพ ทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2566 นี้ยังคงเน้นการรักษาความเป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจหลักทรัพย์ของประเทศไทยที่มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าในทุกสายธุรกิจ โดยในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 3,934 ล้านบาท มีกำไรสุทธิสูงถึง 1,138 ล้านบาท และมีความแข็งแกร่งของเงินกองทุนกว่า 9,300 ล้านบาท
“ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจหลักทรัพย์มีความผันผวนสูง โดยเฉพาะจากปัจจัยภายนอกประเทศที่มีผลต่อการซื้อขายของนักลงทุน สำหรับปีนี้สถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะที่หลักทรัพย์บัวหลวงมีผลกำไรที่ดีเนื่องจากได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ทั้งลูกค้าเก่าที่ยังคงทำการซื้อขายกับบริษัทอย่างต่อเนื่อง และลูกค้าใหม่ที่มีการเปิดบัญชีกับบริษัทเนื่องจากการที่เรามีเครื่องมือและบริการต่าง ๆ ตอบโจทย์นักลงทุนครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย” นายพิเชษฐกล่าว
สำหรับงานด้านวาณิชธนกิจ บริษัทยังประสบผลสำเร็จในการนำบริษัทจดทะเบียนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน โดยล่าสุด ได้แก่ บริษัท เมพ คอร์ปอรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MEB และปีนี้จะมีการนำบริษัทจดทะเบียนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯอีก 3 – 4 ราย อยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร รถยนต์ และสุขภาพ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุน
นายพิเชษฐ กล่าวว่า สถานการณ์การแข่งขันของธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศไทย ยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หลักทรัพย์บัวหลวงมีความแข็งแกร่งและได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเสมอมา โดยเฉพาะในเรื่องความเชื่อมั่น ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนเลือกพิจารณา ด้วยสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงการเป็นบริษัทในเครือของธนาคารกรุงเทพ ที่นอกจากทำให้มีความน่าเชื่อถือสูง ยังมีการบูรณาการความร่วมมือของสององค์กรในการขยายเครือข่ายฐานลูกค้าระหว่างกัน ทำให้บริษัทยังคงรักษาความเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดในด้านส่วนแบ่งรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยในปี 2565บริษัทมีส่วนแบ่งรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อยู่ในสัดส่วนสูงถึงราว 10 %
“ภาวะการแข่งขันในธุรกิจหลักทรัพย์ น่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเข้ามาของบริษัทหลักทรัพย์รายใหม่ ซึ่งจะยิ่งทำให้เราต้องพัฒนาในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีที่สุด นอกจากการแข่งขันจากโบรกเกอร์ด้วยกันเองแล้ว ยังมีผู้ประกอบการในรูปแบบใหม่ในกลุ่มฟินเทคอีกด้วย ซึ่งหลักทรัพย์บัวหลวงยังคงเน้นไปที่การให้บริการที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าคอยให้คำปรึกษาที่ดีจากผู้แนะนำการลงทุน รวมถึงการมีบทวิเคราะห์ที่มีคุณภาพจากนักวิเคราะห์ของบริษัทส่งให้กับลูกค้า และเรายังมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมเครื่องมือในการลงทุนด้วยการใช้เทคโนโลยี ที่ทั้งมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูง เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนอย่างไม่หยุดนิ่ง และพร้อมที่จะดูแลนักลงทุนในทุกสถานการณ์ท้าทาย” นายพิเชษฐกล่าว
ชู 3 กลยุทธ์ย้ำผู้นำธุรกิจหลักทรัพย์
นายบรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ หลักทรัพย์บัวหลวง เปิดเผยว่า
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานของหน่วยงานกิจการค้าหลักทรัพย์ในปีนี้จะมุ่งเน้นเรื่องคุณค่าของการบริการที่ตอบโจทย์ผู้ลงทุน
ประกอบด้วย 3 เรื่องหลัก คือ 1. การสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ปัจจุบันหลักทรัพย์บัวหลวงในฐานะบริษัทในเครือของ
ธนาคารกรุงเทพมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งและได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ AA แนวโน้มอันดับเครดิตเป็น
Stable โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (ข้อมูล ณ วันที่ 22 ธ.ค. 2565) ซึ่งลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการสามารถสบายใจได้ว่า
เราเป็นองค์กรที่มีความมั่นคงและยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจและมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในระบบงาน เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้บริการให้กับลูกค้า โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน Wealth Connex ที่ลูกค้าสามารถใช้บริการติดต่อกับบริษัทได้อย่างสะดวกและมั่นใจในความปลอดภัย รวมถึงได้รับข้อมูลด้านการลงทุนที่เที่ยงตรงจากทีมผู้เชี่ยวชาญของบริษัท
2. การสร้างองค์ความรู้ด้านการลงทุนที่ถูกต้อง โดยในปีนี้ยังคงเน้นให้ความรู้กันอย่างเนื่องกับผู้ลงทุน ผ่านการจัดกิจกรรมให้ข้อมูลด้านการลงทุนในเชิงลึกและการให้ความรู้กับลูกค้าทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Wealth Connex
และในปีนี้จะกลับมาจัด BLStalk กิจกรรมให้ความรู้ด้านการลงทุนกับผู้ลงทุนมือใหม่จากทีมกูรูอารมณ์ดี และได้ใช้ช่องทาง
สื่อโซเชียลมีเดียของบริษัท เพื่อให้ข้อมูลและความรู้ด้านการลงทุนอันเป็นประโยชน์ในวงกว้าง ผ่านช่อง YouTube Bualuang Securities ที่มีจำนวนผู้ติดตามมากกว่า 1 แสนรายแล้ว และ 3. การพัฒนานวัตกรรมและบริการด้านการลงทุนใหม่ ๆ โดยเมื่อต้นปีนี้เราได้เปิดระบบซื้อขายหุ้นต่างประเทศตัวใหม่ในชื่อ “Global Trade Master” ที่มาพร้อมกับเครื่องมือวิเคราะห์หุ้นสุดล้ำที่จะทำให้
การลงทุนต่างประเทศเป็นเรื่องง่าย ปัจจุบันได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ลงทุน รวมถึงยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงระยะสั้น หรือ FCN เพื่อให้มีบริการที่ตอบโจทย์การบริหารความมั่งคั่งของลูกค้าได้อย่างครบถ้วนด้วย
“ปัจจุบันบริษัทมีกลุ่มลูกค้าบุคคลประมาณ 640,000ราย ขณะที่ทั้งอุตสาหกรรมมีผู้เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ประมาณ 2.4 ล้านราย (ตัวเลข ณ สิ้นปี 2565) ซึ่งเรารู้สึกขอบคุณต่อความไว้วางใจที่ลูกค้ามีต่อบริษัทในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เรามุ่งมั่นในการพัฒนาบริการที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีสำหรับเป้าหมายยอดเปิดบัญชีใหม่ในปีนี้ของบริษัทคาดว่าจะขยายตัวประมาณ 30,000 – 40,000 ราย” นายบรรณรงค์ กล่าว