ปตท. ประกาศจ่ายปันผลพิเศษอีก 0.70 บาท หลังจากที่ประกาศไปแล้วรอบแรก 1.30 บาท ผลประกอบการกำไรลดลงจำนวน 17,188 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.9 จากปีก่อน เหตุต้นทุนราคาเนื้อก๊าซฯ ปรับขึ้นสูง มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2550 นำส่งรายได้เข้ารัฐรวม 86,395 ล้านบาท
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2565 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิในปี 2565 จำนวน 91,175 ล้านบาท (คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 3.6%) ลดลงจำนวน 17,188 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.9 จากปีก่อน แม้ว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจาก
ธุรกิจสำรวจและผลิตที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นตามราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจากราคาพลังงานในตลาดโลก
และปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว
รวมถึงในปี 2565 ต้นทุนทางการเงิน ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ และ
ผลขาดทุนจากการรับรู้รายการขาดทุนที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำสุทธิภาษีตามสัดส่วนของ
ปตท. เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2564 ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลงจากต้นทุนก๊าซฯ
ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก จากการนำเข้า Spot LNG เพื่อรองรับความต้องการใช้ก๊าซในประเทศ
และธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลการดำเนินงานลดลงเช่นกัน
โดยกำไรสุทธิจำนวน 91,175 ล้านบาท มาจากผลการดำเนินงานของ ปตท. คิดเป็น 17% ซึ่งลดลงจากปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ที่มีต้นทุนราคาค่าเนื้อก๊าซฯ ปรับสูงขึ้นมาก และอีก 83% มาจากผลการดำเนินงานของบริษัทในเครือ ปตท. ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 51% ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน และบริษัทย่อยอื่นๆ 23% กลุ่มธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก 8% และธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น 1%
นอกจากนี้กลุ่ม ปตท. ยังได้ประกาศเจตนารมณ์มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ
15 ภายในปี 2030
บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon
Neutrality) ภายในปี 2040 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ และพร้อมดำเนินการในทุกมิติเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปริมาณฝุ่นละออง
PM 2.5 ปตท.
นอกจากนี้ ในปี
65 ที่ผ่านมา กลุ่ม ปตท.
มีส่วนช่วยเหลือลดต้นทุนค่าครองชีพด้านพลังงานให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกรณีพิเศษเพื่อช่วยเหลือประชาชนเป็นการเร่งด่วนจากสถานการณ์วิกฤต
เป็นจำนวน 3,000 ล้านบาท
และร่วมดูแลสังคมจัดตั้งโครงการลมหายใจเดียวกัน
สนับสนุนระบบสาธารณสุขของประเทศจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมดำเนินโครงการลมหายใจเพื่อน้อง
ช่วยเหลือเยาวชนกว่า 60,000
คนที่เสี่ยงต่อการหลุดจากระบบการศึกษา
ทั้งนี้กลุ่ม ปตท. ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามพันธกิจหลักในการจัดหาและสำรองพลังงานให้ประชาชนแล พร้อมกับการแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่และธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนต่อไป