สคร. เดินหน้าตามนโยบายกระทรวงการคลังตอบโจทย์ปีแห่งการลงทุนและการสร้างเสถียรภาพทางการคลัง เน้นเร่งการลงทุนรัฐวิสาหกิจและโครงการ PPP เก็บรายได้นำส่งตามเป้า และสร้างความแข็งแกร่งให้รัฐวิสาหกิจ”
นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า จากที่สภาพัฒนฯประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ที่ขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ และคาดว่าในปี 2563 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 1.5 - 2.5 นั้น เห็นว่า ในช่วงความท้าทายของปี 2563 นี้ สคร. มีส่วนในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างมาก ผ่านการเร่งการลงทุนภาครัฐและโครงการ PPP การจัดเก็บรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย และส่งเสริมความเข้มแข็งให้รัฐวิสาหกิจในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน เพื่อสนับสนุนปีแห่งการลงทุนและการสร้างเสถียรภาพทางการคลังของประเทศตามนโยบายกระทรวงการคลังนอกจากความท้าทายในระยะสั้นที่กล่าวไป ยังเห็นว่า การเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มความขีดสามารถในการแข่งขันและเป็นการสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในระยะยาวซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วรัฐวิสาหกิจเป็นหน่วยงานหลักที่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในกิจการโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่ง สคร.ยังคงต้องขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐวิสาหกิจและการให้เอกชนร่วมลงทุน หรือ PPP อย่างต่อเนื่อง
ด้านนายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการ สคร. รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการประเมินรัฐวิสาหกิจ กล่าวว่า ปี2563 สคร. มีนโยบายเร่งการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ เบิกจ่ายให้เร็วขึ้นในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ (Front-Loaded) และหาโครงการลงทุนใหม่ๆ สคร. ยังเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาที่ทำให้การลงทุนติดขัดอีกด้วย นอกจากนี้ ยังยกระดับกลไกการติดตามการลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้เข้มข้นยิ่งขึ้นโดย ร่วมกับกรมบัญชีกลางในการติดตามความคืบหน้าของโครงการลงทุนที่สำคัญของภาครัฐที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาท โดยเพิ่มการติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของบริษัทในเครือขนาดใหญ่ของรัฐวิสาหกิจและรัฐวิสาหกิจประเภทสถาบันการเงิน เพื่อให้การติดตามการลงทุนของรัฐวิสาหกิจครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ปี 2563 มีแผนการเบิกจ่ายประมาณ 350,000 ล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือนมกราคม 2563 มีแผนการเบิกจ่ายสะสม 35,339 ล้านบาท ซึ่งรัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายได้ 37,279 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 105 ของแผน โดย สคร. ตั้งเป้าหมายให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปี 2563 จะต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของแผนเบิกจ่ายทั้งปี นอกจากนี้การจัดเก็บรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 ในปี 2563 สคร. มีเป้าหมายการจัดเก็บอยู่ที่ 188,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 20,800 ล้านบาท โดยผลการจัดเก็บ ณ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 อยู่ที่ประมาณ 95,635 ล้านบาท คิดเป็นประมาณร้อยละ 50 ของเป้าหมายแล้วซึ่ง สคร. คาดว่า จะสามารถจัดเก็บรายได้นำส่งรัฐให้เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายต่างๆ ของภาครัฐและสามารถรักษาเสถียรภาพทางการคลัง
ขณะที่นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา รองผู้อำนวยการ สคร. รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวถึงเรื่อง การผลักดันโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP)ในปี 2563 คาดว่าแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุนใหม่จะสามารถนำเสนอคณะกรรมการ PPP ให้ความเห็นชอบได้ ซึ่งทำให้เห็นเป้าหมายของโครงการ PPP ที่ชัดเจน สนับสนุนการลงทุนของประเทศ โดยร่างแผนที่จะเสนอคณะกรรมการ PPP จะมีโครงการ PPP ประมาณ 90 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมีทั้งโครงการเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม และในปีนี้กฎหมายลำดับรองภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 น่าจะแล้วเสร็จทั้งหมด ทั้งนี้ ในปี 2563 จะมีโครงการ PPP ที่สำคัญ ดังนี้ โครงการที่จะสามารถลงนามในสัญญาร่วมลงทุนได้ อย่างน้อย 6 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุน ประมาณ 385,000 ล้านบาท ได้แก่1) โครงการ Motorway สายบางปะอิน-โคราช ในส่วนของ O&M ของกรมทางหลวง (ทล.)2) โครงการ Motorway สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ในส่วนของ O&M ของ ทล.3) โครงการจัดประโยชน์ที่ดิน โรงแรมแกรมไฮแอท เอราวัณ ของสหโรงแรม 4) โครงการการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุสนามกอล์ฟบางพระ ของกรมธนารักษ์5) โครงการศูนย์การขนส่งฯ นครพนม ของกรมการขนส่งทางบก 6) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยโดยโครงการที่จะนำเสนอคณะกรรมการ PPP อย่างน้อย 4 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนประมาณ 31,000 ล้านบาทได้แก่1) โครงการเคหะชุมชนเชียงใหม่ (หนองหอย) ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) 2) โครงการศูนย์การแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ของกรมการแพทย์ 3) โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรมตามเส้นทางโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของ กคช. และ4) โครงการการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำหรับการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ สคร. ยังคงติดตามการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจที่อยู่ในแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรอีก 5 แห่งต่อเนื่องอย่างใกล้ชิดและจะเสนอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ชุดใหม่ เพื่อดูแลรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาเป็นการเฉพาะเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันรัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่ง มีความคืบหน้าที่สำคัญดังนี้1.บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยังคงต้องแก้ไขปัญหาเรื่องการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและคุณภาพบริการ และที่สำคัญต้องเร่งให้มีการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (MRO) ให้ได้โดยเร็ว 2.การรถไฟแห่งประเทศไทย สามารถปิดงบการเงินเป็นปัจจุบันให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตรวจสอบงบได้แล้ว สำหรับสิ่งที่ยังคงต้องติดตามและกำกับอย่างใกล้ชิด คือ การจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ และการให้บริษัทรถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด มาดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา 3.องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความชัดเจนของแผนการก้ไขปัญหาขององค์กรที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงการปรับปรุงแผนฟื้นฟูกิจการตามนโยบายของรัฐกระทรวงคมนาคม และแนวทางการจัดหารถโดยสารใหม่ตามแผนที่จะปรับปรุง4 บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 ได้เห็นชอบการควบรวมแล้ว และต้องดำเนินการควบรวมให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน หลังจากที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ แต่ยังคงมีรายละเอียดจำนวนมากที่ต้องดำเนินการให้สามารถควบรวมได้อย่างไม่มีปัญหา
ด้านนายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า แผนการดำเนินงานในปี 2563 ตามภารกิจงานของ สคร. ทั้ง 3 ด้านที่กล่าวมาจะเป็นไปเพื่อการสนับสนุนปีแห่งการลงทุนของรัฐบาลและการสร้างเสถียรภาพทางการคลังในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งจากแผนการดำเนินงานข้างต้น คาดว่า สคร. จะช่วยเร่งการลงทุนของภาครัฐให้ปรับตัวดีขึ้นได้ โดยคาดว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจน่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของแผน และสร้างกลไกที่เอื้อต่อการเข้ามาร่วมลงทุนของเอกชนในกิจการของรัฐผ่านกฎหมาย ระเบียบ และกระบวนการ PPP ที่สนับสนุนให้เกิดโครงการเร็วขึ้น รวมถึงส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการโครงการลงทุนร่วมกัน เช่น โรงไฟฟ้าชุมชนหรือสถานีชาร์จไฟฟ้าของรัฐวิสาหกิจกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้สคร.ยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่รัฐวิสาหกิจในทุกด้านและจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการคลังให้ประเทศในระยะยาว สำหรับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ) ปัจจุบัน คนร. มีองค์ประกอบครบถ้วนแล้ว และคาดว่าจะมีการประชุม คนร. ได้ภายในเดือนมีนาคม 2563 นี้ เพื่อขับเคลื่อนงานต่างๆ ที่สำคัญตาม พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ ต่อไป