เบทาโกร
(BTG)
ปลื้มทริสเรทติ้งปรับเพิ่มอันดับเครดิตเป็น
“A”
แนวโน้ม “คงที่”
สะท้อนความแข็งแกร่งโครงสร้างเงินทุน
ตอกย้ำศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
กรุงเทพฯ – 9 มกราคม 2566 – บริษัท เบทาโกร
จำกัด (มหาชน) หรือ “BTG” บริษัทอาหารชั้นนำระดับสากล (World-Class
Branded Food Company) โชว์โครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง และผลการดำเนินงานที่มีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง
หลัง “ทริสเรทติ้ง” ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้เป็น “A” แนวโน้ม “คงที่” สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
ตลอดจนศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ
ด้วยกลยุทธ์มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าเพิ่ม และจุดเด่นของแบรนด์สินค้าซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับ
ความไว้วางใจจากผู้บริโภค
นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)
หรือ BTG เปิดเผยว่า “นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งของเบทาโกร เมื่อล่าสุดสถาบันจัดอันดับ
ความน่าเชื่อถือ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS Rating) ได้จัดอันดับเครดิตองค์กร และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ
ไม่มีหลักประกันของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก “A-” เป็นระดับ “A”
ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ซึ่งการปรับเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าว สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
ศักยภาพการดำเนินธุรกิจ และโอกาสเติบโตของบริษัทฯ จากโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้นมาก
หลังประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้น IPO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ตลอดจนผลการดำเนินงานที่เติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง”
โดยมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าเบทาโกรเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทยมากว่า
55 ปี และมีความสามารถในการรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจดังกล่าวเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
ด้วยโมเดลธุรกิจแบบครบวงจร ครอบคลุมทั้งอาหารสัตว์ เนื้อสัตว์แปรรูป
และผลิตภัณฑ์อาหาร จึงสามารถควบคุมคุณภาพและต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกันกลยุทธ์มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม และการจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ
ซึ่งหลากหลายและเป็นที่รู้จักจากผู้บริโภค ทำให้ช่วยเพิ่มผลกำไรและลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ทั้งนี้ คาดว่าเบทาโกรจะรักษาผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายปีข้างหน้า
เนื่องจากจะได้รับประโยชน์จากราคาเนื้อสัตว์ที่อยู่ในระดับสูงจากภาวะการขาดแคลนของอุปทาน
และความต้องการที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก
นอกจากนี้
เบทาโกรมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้นมาก หลังสามารถระดมทุนในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนผ่านการทำ
IPO ด้วยมูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท โดยมีแผนจะนำเงินประมาณ 50% ของจำนวนดังกล่าวไปชำระคืนหนี้เดิม
และส่วนที่เหลือจะใช้ในการขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
อีกทั้ง ณ
สิ้นเดือนกันยายน 2565 บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA
อยู่ที่ 2.2 เท่า ซึ่งลดลงมากเมื่อเทียบกับระดับ 5.6 เท่า ณ สิ้นปี
2564 ดังนั้น เมื่อรวมฐานทุนที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนประมาณ 3 - 5
พันล้านบาทต่อปี คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะอยู่ที่ระดับ 1.5 เท่าในปี 2565 และ 2.5 - 3.9 เท่าในปี 2566 - 2567
ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนรวม (Debt to Total Capitalization
ratio) ของบริษัทฯ จะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50% ในช่วงปี 2565 - 2567
“การได้รับปรับเพิ่มเครดิตเรทติ้งในครั้งนี้
ช่วยตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตอย่างมั่งคงและยั่งยืนของเบทาโกร ตลอดจนความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแก่นักลงทุนและผู้ถือหุ้นบริษัทฯ
ซึ่งอันดับเครดิตที่ A แนวโน้มคงที่นั้น ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Investment
Grade ที่ได้รับความน่าเชื่อถือ จึงส่งผลดีต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ
ที่มีโอกาสลดลงในการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ในอนาคต
โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงขาขึ้น พร้อมทั้งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและยกระดับผลการดำเนินงานได้ในอนาคต”
นายวสิษฐ กล่าวปิดท้าย