KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) มอบบริการที่ครอบคลุมทุกมิติ และโซลูชันการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อน ความสำเร็จของการบริหารพอร์ตการลงทุนและสินทรัพย์องค์รวมของลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงในปี 2565 เผยพอร์ต K-ALPHA ด้านสินทรัพย์นอกตลาดได้รับ ความสนใจต่อเนื่อง เดินหน้านำเสนอนวัตกรรมการลงทุนทางเลือกในปี 2566 และเดินหน้า เสริมความแกร่งโซลูชัน 4 เสาหลัก เพื่อสร้างการเติบโต
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า “บริบทการลงทุนในปี 2565 มีความท้าทายเป็นอย่างสูง จากราคาที่ปรับตัวลงแรงในแทบทุกสินทรัพย์ โดยผลตอบแทนของตลาดหุ้นโลกและพันธบัตรรัฐบาลโลกนับจากต้นปีปรับตัวลดลงถึง 17.9% และ 16.8% ตามลำดับ ตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้นจากสัญญาณบวกหลายปัจจัย ทั้งผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด เงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่เริ่มอ่อนแอลง และมีแนวโน้มจะผ่าน จุดสูงสุดไปแล้ว"
ความสําเร็จที่โดดเด่นในปี 2565 ผ่าน 4 เสาหลักของโซลูชันการบริหารความมั่งคั่งครบวงจร ของ KBank Private Banking ประกอบด้วย
-กองทุน K-ALLROAD Series นวัตกรรมการลงทุนขับเคลื่อนอัตโนมัติ บนหลักการ Risk-based Asset Allocation ยังคงได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า จากจุดเด่นในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างยืดหยุ่น ตามสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป ทำให้กองทุนมีสมดุลด้านความเสี่ยง โดยทั้ง 3 กองทุนในซีรีส์นี้สามารถระดุม เงินลงทุนจากลูกค้าไปได้กว่า 5.4 พันล้านบาท
- การนำเสนอนวัตกรรมการลงทุนทางเลือก เพื่อกระจายความเสี่ยงในภาวะผันผวน โดย KBank Private Banking มุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ เสนอขายครั้งแรกในปีนี้ ได้แก่ กองทุนหุ้นนอกตลาดทั่วโลก (K-GPE22B-UI) กองทุนตราสารหนี้และหุ้น นอกตลาดทั่วโลก (K-GPA22A-UI) และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยนอกตลาด (ASP-APR-UI (KEX)) โดย ทั้ง 3 กองทุนสามารถระดมเงินลงทุนรวมสูงถึง 5 พันล้านบาท*
-การลงทุนเพื่อความยั่งยืน เป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยสร้าง “ทางรอด” ให้กับโลกและการเติบโตที่มั่นคง - ให้กับทั้งธุรกิจและการลงทุนในระยะยาว ซึ่งกองทุนหลักที่ธนาคารแนะนำอย่างกองทุนเปลี่ยนโลก (K-CHANGE) ยังคงมีผลตอบแทนที่ดี โดยกองทุนหลักสามารถสร้างผลตอบแทนนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนได้ สูงถึง 197% หรือเฉลี่ย 20.07% ต่อปี*
.สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2566 ที่ KBank Private Banking แนะนำจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยมีจุด เปลี่ยนที่สำคัญคือ การแตะจุดสูงสุดของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ดังนี้
"ก่อน" บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ แตะจุดสูงสุด
1. ลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสียงอย่างหุ้น
2. เน้นการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพสูง เช่น หุ้นบริษัทที่ความสามารถในการแข่งขัน และกำหนด ราคา ทำให้สามารถเป็นผู้ชนะในภาวะเงินเฟ้อสูงได้
3. กระจายความเสี่ยงผ่านสินทรัพย์ทางเลือก เช่น กองทุน Hedge Fund
4. กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์นอกตลาดที่มีความผันผวนด้านราคาใน ระยะสั้นต่ำ
“หลัง” บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ แตะจุดสูงสุด
1. ลงทุนบางส่วนในทองคำ เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐฯ จะเปลี่ยนแนวโน้มเป็นอ่อนค่าลง
2. หุ้นกู้เอกชนผลตอบแทนสูง (High Yield) จะกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
3.ทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น หากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเพื่อต้านทานภาวะเศรษฐกิจถดถอยชัดเจน
“ในปี 2566 ธนาคารจะยังคงให้ความสำคัญกับการเสริมความแข็งแกร่งของโซลูชันใน 4 เสาหลัก ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งขึ้นในการ สร้างการเติบโต เก็บรักษา และส่งต่อความมั่งคั่งของลูกค้าต่อไปในอนาคต” นายจิรวัฒน์ กล่าวสรุป
#KBankPrivateBanking #เคแบงก์ไพรเวทแบงกิ้ง #บริหารสินทรัพย์ครอบครัว #ข่าวหุ้น #ข่าวประจำ #ข่าวการลงทุน