WHA Group ประกาศงบ ปี 2564 โชว์รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ 12,077.9 ล้านบาท

WHA Group ประกาศงบฯ ปี 2564

โชว์รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ 12,077.9 ล้านบาท โต 28.8%

และมีกำไรปกติ 2,709.6 ล้านบาท

พร้อมไฟเขียวอนุมัติเงินปันผลเพิ่มเติม 0.0735 บ./หุ้น 

 

กรุงเทพ - บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ “ WHA Group ” ประกาศผลการดำเนินงานประจำปี 2564 มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร 11,963.9ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,590.1 ล้านบาท โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 12,077.9ล้านบาท และกำไรปกติ 2,709.6 ล้านบาท ล่าสุดบอร์ด        ไฟเขียวอนุมัติจ่ายปันผลเพิ่มเติม0.0735 บาทต่อหุ้น จ่อขึ้น XD .. และจ่ายปันผล 25 พ.. นี้ ด้าน Group CEO “จรีพร จารุกรสกุล” ลุยเดินหน้าทรานสฟอร์มธุรกิจ สู่การขับเคลื่อนภายใต้ 4 กลุ่มธุรกิจในเครือ คาดการณ์รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติแตะระดับ 21,000 ล้านบาทในปี 2569 

 

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2564 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิทั้งสิ้น7,239.2 ล้านบาท และ 2,034.8 ล้านบาท ตามลำดับ โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ และกำไรสุทธิปกติทั้งสิ้น 7,218.7 ล้านบาท และ 2,014.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.0และ 45.0เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2563 สำหรับผลการดำเนินงานปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 11,963.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,590.1 ล้านบาท โดยหากพิจารณาถึงผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 12,077.9 ล้านบาท และกำไรปกติ 2,709.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.8% และ 8.2% จากปีที่แล้ว

 

บริษัทฯ ยังคงมั่นใจในความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน และผลประกอบการประจำปีของบริษัทฯ ทั้งนี้ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลงวดปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.1002 บาท โดยบริษัทฯ ได้มีการจ่ายปันผลไปแล้ว จำนวน 0.0267 บาทต่อหุ้น และเตรียมจ่ายเงินปันผลเพิ่มเติมอีก 0.0735 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 และกำหนดการจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2565 ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคงของรายได้และกระแสเงินสดภายใต้กลยุทธ์ทางธุรกิจที่ชัดเจน การมีสภาพคล่องที่เพียงพอ ตลอดจนความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการบริหารการเงินท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19

 

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ 4 กลุ่มธุรกิจว่า ธุรกิจโลจิสติกส์ มีการเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่องในปี 2564 ที่ผ่านมา โดยมีบริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 1,160.6ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5เมื่อเทียบกับปี 2563 ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดโครงการและลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน / คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มเติมกว่า 166,310 ตารางเมตร และสัญญาเช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูงอีกจำนวน 176,595 ตารางเมตร โดยสิ้นปี 2564บริษัทฯ มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารทั้งหมด 2,550,092 ตารางเมตร 

รวมถึงบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ WHART ในช่วงไตรมาส 4ปี 2564 ที่ผ่านมา มูลค่ารวมทั้งสิ้น 5,550 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคลังสินค้าประเภท Built-to-Suit จำนวน โครงการ และโครงการประเภท General Warehouses จำนวน โครงการ โดยมีพื้นที่เช่าอาคารรวมทั้ง โครงการจำนวน 184,329 ตารางเมตร

“ นอกจากการเปิดตัวโครงการคลังสินค้า/ ศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องแล้ว บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการสร้างโอกาสทางธุรกิจและแสวงหา Synergy ผ่านการทำงานร่วมกันกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ โดยช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการลงทุนในบริษัท Startups เพื่อต่อยอดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ การขยายฐานธุรกิจและการสร้าง Business Model ที่แตกต่างจากธุรกิจเดิม โดยในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงทุนใน Giztix สตาร์ทอัพชั้นนำด้าน e-Logistic ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อเชื่อมโยงผู้ประกอบการด้านขนส่งและโลจิสติกส์ กับผู้ใช้บริการจากทั่วประเทศ จากเดิมก่อนหน้านี้บริษัทฯ ยังได้เข้าซื้อหุ้นใน บริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด ผู้ให้บริการให้เช่าพื้นที่จัดเก็บทรัพย์สินส่วนบุคคลระดับพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ “i-Store Self Storage”มาแล้ว ทำให้ในปีนี้ บริษัทฯยังมุ่งเน้นหาพันธมิตรใหม่ๆเพิ่มขึ้น เพื่อพัฒนาและสร้างสรรค์บริการต่างๆ ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะสมัยใหม่ เพื่อขับเคลื่อนด้วย AI IoT  Big Data ระบบอัตโนมัติ และวิทยาการหุ่นยนต์ มาปรับใช้เพื่อพัฒนาและต่อยอดการดำเนินธุรกิจ พร้อมหาโอกาสใหม่ ๆ ในเทคโนโลยีเมตาเวิร์ส ควอนตัม และระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า ” 

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าพัฒนาอาคารสำนักงาน (WHA Office Solutions) ระดับพรีเมี่ยมที่มีอยู่ทั้ง 6 แห่งในกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ เพื่อเป็นปักหมุดแลนด์มาร์คประเภทสำนักงานแห่งใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มประเภทธุรกิจ

 

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมสำหรับปี 2564 รวม 1,729.7 ล้านบาท ชะลอตัวลงจากปี 2563 มีสาเหตุหลักจากรายได้ค่าผ่านทาง (right of ways) ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม รายได้จากการโอนที่ดินปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดย ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 891 ไร่ แบ่งเป็นในไทย 850 ไร่ และเวียดนาม 41 ไร่ และยอดเซ็นMOU รวม 96 ไร่ (เวียดนาม) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับภาพรวมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการลงทุนของประเทศไทยที่ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากนโยบายเปิดประเทศ มาตรการปลดล็อคการเดินทาง รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายภายหลังจากมีการเร่งฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง นอกจากนี้การย้ายฐานการผลิตสืบเนื่องจากการแข่งขันทางการค้า เทคโนโลยี หรือการขาดแคลนพลังงานในประเทศจีน ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯในปีที่ผ่านมา  

ขณะเดียวกันยอดขายที่ดินที่เพิ่มขึ้นยังรวมถึงดีมานด์ของลูกค้าในอุตสาหกรรมมูลค่าสูงโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ อาหาร และด้านการแพทย์ ที่แสดงความต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยทั้งสิ้น 11 แห่ง โดยบริษัทฯมีแผนที่จะพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยปี 2565 บริษัทฯ เตรียมขยายนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด พิ่มอีก 580 ไร่ ซึ่งได้เริ่มการก่อสร้างแล้วในช่วงไตรมาส ปี 2564 รวมถึงแผนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง เฟส 1 จำนวน 1,100 ไร่ ตามแผนการร่วมทุนกับบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด ในช่วงปลายปี2565 นี้” 

ด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม ในปี 2564 บริษัทฯ มียอดขายที่ดิน ทั้งสิ้น 41 ไร่ ซึ่งชะลอตัวลงจากปี 2563 เนื่องจากประเทศเวียดนาม มีการล็อกดาวน์ประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้การส่งมอบพื้นที่เพื่อพัฒนานิคมอุตสาหกรรมมีความล่าช้ากว่ากำหนด อย่างไรก็ตาม ในฐานะประเทศ       ที่มีศักยภาพด้านการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติที่โดดเด่นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศเวียดนามยังเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุน บริษัทฯ จึงเร่งดำเนินการก่อสร้างและจัดหาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนามเพิ่มเติม จากปัจจุบันเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 - เหงะอาน เสร็จสิ้นการก่อสร้างเฟส ขนาดพื้นที่ 1,000 ไร่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีผู้เช่ากว่า 50ของพื้นที่ บริษัทฯ จึงเร่งดำเนินการก่อสร้างเฟส บนพื้นที่ขนาด 2,200 ไร่ โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในไตรมาส 1 ปี 2565 นี้  ดังนั้นหากการก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมด จะส่งผลให้เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน จะมีพื้นที่รวมทั้งสิ้นกว่า 11,550 ไร่

นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีแผนการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมเพิ่มเติมอีก แห่ง ได้แก่ WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa และ WHA Northern Industrial Zone ในจังหวัดถั่งหัว ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7,500 ไร่ โดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และปี 2567 ตามลำดับ

 

ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฯ กล่าวเพิ่มเติมถึงธุรกิจสาธารณูปโภคว่า ผลประกอบการของธุรกิจน้ำในปี 2564 ที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างโดดเด่น ทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคเท่ากับ 2,351.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.1โดยมีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งหมดในประเทศไทยและต่างประเทศสำหรับปี 2564 รวม 135 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 18%จากปี 2563 โดยเป็นสัดส่วนปริมาณยอดจำหน่ายน้ำในประเทศเท่ากับ 112 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน ซึ่งสะท้อนการเติบโตของยอดจำหน่ายน้ำในทุกประเภทผลิตภัณฑ์ ที่ปรับตัวดีขึ้นตามความต้องการใช้น้ำของทั้งลูกค้ารายเดิม อาทิ กลุ่มผู้ประกอบการ ปิโตรเคมี (GC Oxirane) และลูกค้ารายใหม่ อาทิ Gulf SRC ที่ทยอยเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ผ่านมา สำหรับส่วนยอดขายน้ำในประเทศเวียดนามนั้น มีปริมาณการจำหน่ายน้ำโครงการ Duong River ปี 2564 เท่ากับ 22 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน เนื่องจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งจากลูกค้ารายเดิมและลูกค้ารายใหม่ 

นอกจากนี้ ยังมีปริมาณยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Products) ในปี 2564 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง