ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดเศรษฐกิจไทยในปี 2565 เติบโตร้อยละ 3.3 แนะรับมือปัจจัยเสี่ยงรายไตรมาส
ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวถึงมุมมอง ที่สำคัญใน 4 ปัจจัย ที่ต้องติดตามรายไตรมาส โดยเริ่มไตรมาสแรก มองเรื่อง ฤดูกาลท่องเที่ยวของไทยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงไตรมาส 1 ของปีถัดไป ในไตรมาสนี้จึงเป็นที่จับตามองว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในช่วงไฮซีซั่นอย่างไร หลังจากที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทยอย่างหนักในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา , ไตรมาสที่ 2 ให้ความสำคัญเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยว ว่าจะมีจำนวน 5-10 ล้านคนตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ สะท้อนให้เห็นว่าภาคการท่องเที่ยวกำลังค่อยๆ ฟื้นตัวสู่ภาวะปกติแล้วจริงไหม , ไตรมาสที่ 3 จับตามองเรื่อง ความผันผวนในตลาดการเงินอันเป็นผลมาจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยกับธนาคารกลางอื่นในโลก เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับต่ำให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ ในขณะที่ธนาคารกลางอื่นๆในโลกอาจจะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา อาจมีการขึ้นดอกเบี้ยถึง 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในเดือน มี.ค. และมิ.ย. ซึ่งอาจก่อให้เกิดเงินทุนไหลออกนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ประเทศไทยไม่มีตัวช่วยอย่างดุลบัญชีเดินสะพัดและการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งเฉกเช่นในอดีตก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และไตรมาสที่ 4 จับตามองเรื่องความเสี่ยง การเคลื่อนไหวทางการเมือง เนื่องจากประเทศไทยจะเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566
สำหรับมุมมองด้านค่าเงินบาท น่าจะอยู่ที่ 32 บาท/ ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2565 “การที่ธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ประกอบกับผลกระทบจากการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน ในช่วงครึ่งปีแรกของปี2565 ค่าเงินบาทน่าจะยังคงอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม หากการท่องเที่ยวค่อยๆ กลับมาฟื้นตัว ค่าเงินบาทน่าจะเริ่มแข็งค่าขึ้นในครึ่งปีหลัง” ดร.ทิม กล่าว
ด้านการลงทุน การบริโภคภาคเอกชน ยังไม่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน การลงทุนภาคเอกชนยังไม่ส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภค แม้จะปรับตัวดีขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับต่ำโดยทั้งสองตัวแปรนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นใจในภาคเอกชนที่ยังปกคลุมอยู่ในปี 2565
นอกจากนี้ยังให้มุมมองด้านดอกเบี้ยนโยบายปี 2566 แม้ว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน แต่ยังอยู่ในกรอบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งไว้ ดังนั้น ด้วยภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศยังต้องการการประคับประคอง คณะกรรมการนโยบายการเงินน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ตลอดทั้งปี 2565 และหากเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวได้จริง ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง ในปี 2566