บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป โชว์ผลประกอบการไตรมาส 3/2564 เติบโตต่อเนื่อง มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,209 ล้านบาท ปัจจัยหนุนจากกำไรของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ เดินหน้าบุกลงทุนในสหรัฐฯ ล่าสุดประสบความสำเร็จในการปิดดีล “เอเพ็กซ์” บริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกัน ยังตอกย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการติดอันดับ DJSI ปี 2564 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 การคว้ารางวัล Rising Star Sustainability Awards จากเวที SET Awards 2564 และการได้รับคัดเลือกเป็น “หุ้นยั่งยืน” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า “ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 จนถึงปัจจุบัน เอ็กโก กรุ๊ป ประสบความสำเร็จในการเปิดพื้นที่การลงทุนใหม่ในสหรัฐอเมริกา โดยเข้าไปลงทุนในโรงไฟฟ้า“ลินเดน โคเจน” ซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เป็นโครงการแรก ตามมาด้วยการเข้าไปลงทุนใน “เอเพ็กซ์” บริษัทพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ เอ็กโก กรุ๊ป มีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่โครงการใหม่อีกหลายโครงการในอนาคต สำหรับการพัฒนาธุรกิจในประเทศ เอ็กโก กรุ๊ป ได้ร่วมกับ กลุ่ม กฟผ. จัดตั้ง “บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด” ซึ่งจะเป็นบริษัทเรือธงด้านนวัตกรรมไฟฟ้าของกลุ่ม กฟผ. ในการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่
ด้านพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งสนับสนุนส่งเสริมสตาร์ทอัพในอุตสาหกรรมพลังงาน ในขณะเดียวกัน บริษัทนี้จะช่วยเสริมสร้างฐานธุรกิจ Smart Energy Solution ของเอ็กโก กรุ๊ป ให้เติบโตยิ่งขึ้นด้วย”
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2564 เอ็กโก กรุ๊ป มีกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี การด้อยค่าของสินทรัพย์ การวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน และการรับรู้รายได้แบบสัญญาเช่า) 3,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 370 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2563 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากกำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ได้แก่ โรงไฟฟ้าซานบัวนาเวนทูรา น้ำเทิน 2 และไซยะบุรี นอกจากนี้ กำไรจากการดำเนินงานของเหมืองถ่านหินเอ็มเอ็มอีเพิ่มขึ้น เนื่องจากการส่งออกถ่านหินและราคาขายถ่านหิน อย่างไรก็ตาม กำไรจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพาจูลดลง เนื่องจากราคาต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี2564 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน 8,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 414 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
เมื่อพิจารณากำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,074 ล้านบาท ลดลง 1,193 ล้านบาท หรือ คิดเป็น53% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่มีกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 จำนวน 3,170 ล้านบาทลดลง 3,759 ล้านบาท หรือคิดเป็น 54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลกระทบทางบัญชีที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากการแปลงมูลค่าหนี้สินระยะยาวเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินบาทจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาท และการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน
ด้านโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 โครงการ ประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้า 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล “หยุนหลิน” ในไต้หวัน ก่อสร้างแล้วเสร็จ 71% โดยปัจจุบันกังหันลม 2 ต้น จำนวน 16 เมกะวัตต์ ได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน และ 11 พฤศจิกายน 2564 ตามลำดับ ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2564 ในขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ “น้ำเทิน1” ใน สปป.ลาว ก่อสร้างแล้วเสร็จ 94% นอกจากนี้ ยังมีโครงการธุรกิจพลังงาน ที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ โครงการ “ขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ก่อสร้างแล้วเสร็จ 89% ในขณะที่โครงการ “นิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง” อยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ
สำหรับทิศทางการลงทุนในอนาคต นายเทพรัตน์ กล่าวว่า “เอ็กโก กรุ๊ป ยังมุ่งต่อยอดธุรกิจไฟฟ้า โดยเฉพาะการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด ในขณะเดียวกัน ได้เร่งขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องตลอดจนยังมุ่งเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อให้สอดรับกับทิศทางพลังงานโลกและแผนพลังงานชาติ โดยตั้งเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และเป้าหมายลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emission Intensity) 10% ภายในปี 2573”
“บริษัทได้กำหนดทิศทางในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน “Cleaner, Smarter and Stronger to Drive Sustainable Growth” โดย Cleaner ลงทุนในธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในขณะที่ Smarter สร้างความมั่นคงในระบบไฟฟ้าและการลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโตสูง ประเภท New S-Curve เพื่อให้ทันต่อเทคโนโลยี ดิสรัปชัน และ Stronger สร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นด้วยการหาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน” นายเทพรัตน์กล่าวสรุป