‘บมจ.พริมา มารีน’ หรือ (“PRM”) เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 ทำรายได้รวม 1,542.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น6.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลังโชว์ความสำเร็จการปรับพอร์ตกองเรือที่มุ่งขยายกลุ่มธุรกิจOffshore Support และธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศ หนุนกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกทำได้ 1,350.3 ล้านบาท ด้านบอร์ดประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.08บาทต่อหุ้น เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) (“PRM”)
ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยเปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2564 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,542.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.0% และมีกำไรสุทธิ 486.9ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ซึ่งสะท้อนศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ PRM ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยจุดเด่นการมีโครงสร้างธุรกิจและพอร์ตกองเรือที่หลากหลาย สนับสนุนประสิทธิภาพการดำเนินงานธุรกิจที่สามารถขับเคลื่อนสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกโอกาส โดยในไตรมาสนี้ กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งที่ให้การสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Offshore Support) มีอัตราการเติบโตอย่างโดดเด่นหลังจากการเข้าซื้อกิจการบริษัท ทรูธ มาริไทม์ จำกัด โดยได้รับเรือ Crew Boat จำนวน 13 ลำ มาประจำการและสามารถผลักดันอัตราการใช้เรือในกลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 90% ภายในระยะเวลาอันสั้น ทำให้สามารถรับรู้รายได้จากลุ่มธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศที่ให้บริการด้วยเรือ VLCC ขนาด 300,000 DWT ให้แก่กลุ่มไทยออยล์สามารถทำรายได้เต็มในไตรมาสที่ 3 รวมถึงกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศที่รักษาอัตราการใช้บริการได้มากกว่า 80% ทำให้บริษัทฯ สามารถผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 4,422.5 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2563 ที่ผ่านมา แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยยังคงได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และมีกำไรสุทธิ 1,350.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยนอกจากปัจจัยการดำเนินงานที่แข็งแกร่งดังที่กล่าวมาแล้ว ยังบันทึกกำไรพิเศษจากการจำหน่ายเรือในช่วงที่ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวสูงในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ที่ผ่านมา
ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรสำหรับงวดผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปีนี้ (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2564) ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.08 บาทต่อหุ้นโดยจ่ายมาจากกำไรสุทธิส่วนที่ไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (NON-BOI) 0.08 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทฯ จะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 9 ธันวาคม 2564
ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี PRM กล่าวว่า แนวโน้มการดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 บริษัทฯ คาดว่าจะรักษาอัตราการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยมาจากกลุ่มธุรกิจเรือ Offshore Support และกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศที่ทำรายได้ประจำและสม่ำเสมอให้กับบริษัทฯ ตามสัญญาระยะยาว ขณะที่กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ภายหลังจากภาครัฐคลายมาตรการล็อกดาวน์และเริ่มเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง ส่งผลให้การบริโภคน้ำมันภายในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมัน JET A-1 ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงเครื่องบินที่คาดว่าจะทยอยปรับตัวดีขึ้นนับจากไตรมาสนี้เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อกลุ่มธุรกิจดังกล่าวที่คาดว่าจะมีอัตราการใช้เรือเพื่อขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมการดำเนินงานทั้งปีของ PRM ให้สามารถเติบโตตามแผนที่วางไว้