แผนเพิ่มทุนของเอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) คืบหน้า ล่าสุด ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 30 ของทุนชำระแล้วของ SCGP ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแล้วเสร็จ ทั้งนี้ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เอสซีจี จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน SCGP เช่นเดิม ชี้เป็นธุรกิจดาวรุ่งของเอสซีจี ที่เป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรที่พร้อมนำเสนอบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และการให้บริการที่หลากหลาย ควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมเพื่อส่งมอบโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ที่ตรงใจลูกค้าทุกกลุ่ม และตอบรับการเติบโตของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคอื่น ๆ
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยถึงความคืบหน้าการนำหุ้นของ บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (“SCGP”) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสร่วมลงทุนในธุรกิจแพคเกจจิ้งที่มีโอกาสในการเติบโตในอนาคต ว่า ขณะนี้ SCGP ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“สำนักงาน ก.ล.ต.”) เรียบร้อยแล้ว โดยจะออกและเสนอขายหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 1,374,000,000 หุ้น โดยแบ่งเป็น (1) จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนรวมไม่เกิน 1,194,800,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 27.7 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ SCGP ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ (ไม่รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจาก SCGP ในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) และ (2) อาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินจำนวนไม่เกิน 179,200,000 หุ้น โดยคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 15.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเสนอขายทั้งหมดในครั้งนี้
ทั้งนี้
จำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จะมีสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 30 ของทุนชำระแล้วของ SCGP
ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแล้วเสร็จ
โดยเอสซีจีจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน SCGP ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ
70 ของทุนชำระแล้วของ SCGP ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
นับเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้เอสซีจีได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานของ SCGP
ที่มีโอกาสสร้างมูลค่าการเติบโตในอนาคต