โอสถสภา’ เผยยอดขาย 9 เดือนแรก 19,810 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,404 ล้านบาท

โอสถสภา’ เผยยอดขาย เดือนแรก 19,810 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,404 ล้านบาท

ฝ่าปัจจัยลบเติบโตกว่าตลาด ส่วนแบ่งตลาดซีวิททำนิวไฮในไตรมาส3

ตลาดต่างประเทศและ OEM สร้างผลงานโดดเด่น 

เชื่อไตรมาสสุดท้ายขยายตัวพร้อมรับเปิดประเทศ

บมจ.โอสถสภา (OSP)’ เผยผลการดำเนินงานช่วง เดือนแรกของปี 2564 ทำยอดขาย 19,810 ล้านบาท รักษาความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มภายในประเทศ ส่วนตลาดต่างประเทศและกลุ่มธุรกิจ OEM ขยายตัวโดดเด่นต่อเนื่องและมีกำไรสุทธิ 2,404 ล้านบาท หากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 2,656 ล้านบาท พร้อมประเมินผลงานโค้งสุดท้ายปีนี้ฟื้นตัวแรง หลังปัจจัยลบคลี่คลายและภาครัฐเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวหนุนความเชื่อมั่นผู้บริโภค   

นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง เดือนของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) ทำรายได้จากการขาย 19,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้มีปัจจัยลบจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อบรรยากาศและกำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวลง โดยเติบโตจากธุรกิจเครื่องดื่มในตลาดต่างประเทศที่มีอัตราการขยายตัว 31.2และโอสถสภายังคงความเป็นผู้นำตลาดในประเทศของเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ด้วยส่วนแบ่งตลาดรวม 54.5% จากความแข็งแกร่งของแบรนด์อันดับ อย่างเอ็ม-150 เช่นเดียวกับกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์ โอสถสภามีส่วนแบ่งตลาด 39.8% ผลักดันโดยแบรนด์อันดับ 1 อย่าง ซีวิท ซึ่งทำส่วนแบ่งตลาดนิวไฮในไตรมาส 3 จากศักยภาพการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง

แม้ในช่วงไตรมาส 3/2564 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทฯ ต้องเผชิญแรงกดดันจากสถานการณ์ของโควิด-19 ที่รุนแรง ส่งผลต่อการกระจายสินค้าไปยังช่องทางจำหน่าย แต่การนำแนวคิดบริหารงานที่เน้นความยืดหยุ่นและการปรับตัวรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมการมีเครือข่ายกระจายสินค้าที่มีความแข็งแกร่ง ทำให้มีสินค้าจำหน่ายในตลาดอย่างต่อเนื่องและสามารถช่วยเหลือพันธมิตรคู่ค้าในการกระจายสินค้า สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค เป็นผลให้ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ทำยอดขายได้ 6,121 ล้านบาท ขณะเดียวกัน เครือข่ายกระจายสินค้าที่มีความแข็งแกร่งยังช่วยผลักดันให้เครื่องดื่มวิตามินของกลุ่มยันฮี ที่โอสถสภาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายกลับมาครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1นอกจากนี้ ยังรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจ OEM ซึ่งรวมถึงการผลิตขวดแก้วให้แก่คู่ค้าในต่างประเทศนั้น มีอัตราเติบโตมากกว่า 50% 

บริษัทฯ ยังคงใช้การบริหารจัดการต้นทุนภายใต้โครงการ Fit Fast Firm อย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 บริษัทฯ เผชิญต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน เป็นผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวทำได้ 580 ล้านบาท และกำไรสุทธิสำหรับ 9เดือนทำได้ 2,404 ล้านบาท แต่หากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากการดำเนินงานสำหรับไตรมาสอยู่ที่ 708 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 11.6% และกำไรจากการดำเนินงานสำหรับ เดือนอยู่ที่ 2,656 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 13.4%

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด และจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หลังจากปัจจัยลบภายในประเทศคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และภาครัฐมีมาตรการยกเลิกการประกาศเคอร์ฟิว เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยโดยไม่ต้องกักตัวในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและบรรยากาศการซื้อสินค้าของผู้บริโภคให้กลับมาคึกคัก โดยพบว่า ยอดขายสินค้าเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาและทยอยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้เตรียมแผนการตลาดและสินค้าใหม่เพื่อรองรับการฟื้นตัว อาทิ การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซีวิทขนาด 1 ลิตรในร้านสะดวกซื้อชั้นนำทั่วประเทศ การออกผลิตภัณพ์พิเศษลิมิเต็ด อิดิชั่น ของแบรนด์คาลพิส แลคโตะ กลิ่นพีช ซากุระ และกลิ่นเมเปิ้ลไซรัป และ สลิมม่าเจลลี่’ ผลิตภัณฑ์ใหม่จากแบรนด์ สลิมม่า’ ที่มีส่วนผสมของใยอาหารแอลคาร์นิทีน และวิตามินบี ช่วยลดการดูดซึมและเผาผลาญไขมัน จึงมั่นใจว่าภาพรวมยอดขายในไตรมาสสุดท้ายจะขยายตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส ที่ผ่านมา รวมถึงพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจากกัญชง-กัญชา ทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มร่วมกับพัธมิตรหลักอย่างยันฮีและผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล พร้อมออกสู่ตลาดในปีหน้าตอบสนองความต้องการด้านใหม่แก่ผู้บริโภค เพื่อผลักดันการเติบโตและสร้างธุรกิจในอนาคต

นอกจากนี้ OSP ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 146 บริษัทจดทะเบียนที่มีรายชื่ออยู่ในหุ้นยั่งยืน ‘Thailand Sustainability Investment’ (THSI) ประจำปี .. 2564 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG)  ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน