บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER แจ้งงบ 9 เดือนกำไรสุทธิ 1,245.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 184.97% โดยรายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 18,405.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.36% จากการขยายกำลังการผลิตในส่วนโรงงานยางแท่งแห่งที่ 2 และราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้น มั่นใจโค้งสุดท้ายยังโดดเด่น รับอานิสงค์ราคายางพาราพุ่ง -ขยายฐานลูกค้าอินเดีย หนุนภาพรวมผลงานทั้งปี 2564 โตตามเป้าหมาย
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงาน สำหรับงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนว่า บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 440.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 287.99ล้านบาท คิดเป็น 189.07% โดยมีรายได้จากการขายรวม7,153.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,816.27 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 64.94% โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 4,172.20 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 58.33% ของยอดขายรวม และรายได้จากการขายต่างประเทศ 2,980.87 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 41.67% ของยอดขายรวม
สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนว่า บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 1,245.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 808.52 ล้านบาท คิดเป็น 184.97% คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.76 บาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.28 บาท โดยมีรายได้จากการขายรวม 18,405.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,422.16 ล้านบาท หรือคิดเป็น 84.36% โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 11,741.08 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63.79% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 5,692.86 ล้านบาท คิดเป็น 94.12% และรายได้จากการขายต่างประเทศ 6,664.63 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36.21% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 2,729.30 ล้านบาท คิดเป็น 69.35%
ด้านปริมาณขายสินค้าเพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตในส่วนโรงงานยางแท่ง แห่งที่ 2ส่งผลให้มีปริมาณการขายสำหรับงวด 9 เดือนอยู่ที่ 345,474 ตัน เพิ่มขึ้น 111,849 ตัน คิดเป็น 47.88% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 3/2564 สูงขึ้น
สำหรับภาพรวมธุรกิจของปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท และปริมาณขายที่ 4.4แสนตัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และรองรับกลุ่มลูกค้าจาก จีน สิงคโปร์ อินเดีย และ กำลังซื้อจากภายในประเทศ อีกทั้งปัจจุบันบริษัทมีออเดอร์ล่วงหน้าไปถึงปี 2565 แล้ว
นอกจากนี้บริษัทคาดการณ์ว่าจะเห็นภาพรวมความต้องการใช้ยางพาราทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2565 จากความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมยานยนต์ และการขนส่ง ทั้งนี้ทั่วโลกให้ความสนใจต่อประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการลดและงดใช้ยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่เป็นตัวการสำคัญของก๊าซเรือนกระจก ไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ใช้พลังงานสะอาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริดและรถยนต์พลังงานเซลส์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั่วโลกมียอดขายที่เพิ่มขึ้น
สำหรับธุรกิจปลายน้ำในปี 2565 บริษัทตั้งเป้ารายได้จากแผ่นยางปูรองนอนวัวประมาณ 500 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิประมาณ 20% ซึ่งจะหนุนให้บริษัทมีทิศทางกำไรสุทธิเติบโตอย่างสม่ำเสมอและเติบโตในระยะยาว