ธ.ก.ส. ก้าวสู่ปีที่ 56 มุ่งดูแลพี่น้องเกษตรกรและผู้ประกอบการภาคเกษตร ก้าวข้ามวิกฤต COVID-19 และภัยธรรมชาติต่าง ๆ ผ่านมาตรการเยียวยา บรรเทา และฟื้นฟู ทั้งในส่วนของโครงการนโยบายรัฐและของ ธ.ก.ส. ส่งผลให้การดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปีบัญชี 64 เติบโตในอัตราที่ลดลงตามสภาวการณ์ โดยมีรายได้รวม41,084 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 39,623 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,461 ล้านบาท ตั้งเป้าครึ่งปีหลัง คัดชุมชนที่มีศักยภาพ มาเป็นกลไกในการสร้างอาชีพรองรับแรงงานคืนถิ่นและคนรุ่นใหม่ 100,000 คน โดยประสานเครือข่ายภาครัฐเอกชนเติมเต็มองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างการเติบโตแบบยั่งยืน พร้อมจัดสินเชื่อต่อยอดธุรกิจและการให้บริการผ่านระบบ Digital Banking
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบวันสถาปนา ธ.ก.ส. ก้าวสู่ปีที่ 56 ธ.ก.ส. ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาภาคเกษตรกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยสู่สังคมที่ภาคภูมิ ซึ่งภายใต้สถานการณ์ที่ประเทศไทยและทั่วโลกประสบภาวะวิกฤตจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสังคม และความเป็นอยู่ของประชาชน โดยในภาคเกษตรกรรมประสบปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำอันเนื่องมาจากการล็อกดาวน์ การปิดประเทศไม่สามารถส่งออกสินค้า ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ทำให้ภาคบริการ เช่นร้านอาหาร โรงแรมปิดกิจการ จึงขาดผู้รับซื้อผลผลิตขณะเดียวกันเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบให้เกิดการเลิกจ้างงานโดยมีตัวเลขแรงงานคืนถิ่นและบัณฑิตจบใหม่ที่ยังว่างงานจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อดูแลพี่น้องเกษตรกรและผู้ประกอบการในภาคการเกษตรและเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ธ.ก.ส.ได้ดำเนินงานผ่าน 3 มาตรการ ประกอบด้วย
มาตรการเยียวยา โดยขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาล เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่เหมาะสมผ่านโครงการประกันรายได้สินค้าเกษตร5 ชนิด ได้แก่ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 6,924,413 ราย เป็นเงินกว่า60,000 ล้านบาท
มาตรการบรรเทา โดยการสร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรตามนโยบายรัฐผ่านโครงการประกันภัยพืชผล ได้แก่การประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีผู้เข้าร่วมโครงการกว่า 3.68 ล้านราย พื้นที่รวมกว่า44.8 ล้านไร่ซึ่งในช่วงที่เกิดอุทกภัย มีเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนกว่า 4.6 แสนราย พื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหายกว่า 5.3 ล้านไร่ ขณะนี้ได้เร่งประสานงานในการจ่ายค่าสินไหมทดแทน และการดำเนินงานในส่วนของธ.ก.ส.เพื่อบรรเทาภาระทางการเงินให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผ่านโครงการพักชำระหนี้ โดยมีเกษตรลูกค้าได้รับประโยชน์ 1,796,422 ราย ต้นเงิน 551,060 ล้านบาท และการสร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรจำนวน 3 โครงการ ได้แก่ การประกันภัยโคนม โคเนื้อ และชาวประมงมีผู้เข้าร่วมโครงการ 2,783 ราย เบี้ยประกัน 3.82 ล้านบาท
มาตรการฟื้นฟู สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรนตามนโยบายรัฐ จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าว สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมงและสินเชื่อเพื่อพัฒนาเกษตรแบบแปลงใหญ่ มีผู้เข้าร่วมโครงการ 2,266 ราย เป็นเงิน8,986 ล้านบาท และในส่วนของ ธ.ก.ส.ได้ดำเนินโครงการ สินเชื่อฉุกเฉินดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องด้านการเงินให้กับผู้ประกอบการ สินเชื่อ Soft Loan ของธนาคารแห่งประเทศไทย มาตรการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (พักทรัพย์ พักหนี้) สินเชื่อเสริมแกร่ง SME เกษตร สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 และการฟื้นฟูอาชีพ ผ่านสินเชื่อสานฝัน สร้างอาชีพ สินเชื่อนวัตกรรมดีมีทุน และการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากผ่านโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย โดยมีวงเงินที่พร้อมสนับสนุนรวม 200,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการประมาณ 29,861 ราย เป็นเงิน 14,269 ล้านบาท และในช่วงที่เกิดอุทกภัย ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนสินเชื่อฉุกเฉิน เพื่อนำไปใช้จ่ายที่จำเป็นภายในครัวเรือน รายละไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท
นายธนารัตน์กล่าวต่อไปว่า จากสภาวการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปีบัญชี2564 (1 เมษายน - 30 กันยายน 2564) ธ.ก.ส. มียอดจ่ายสินเชื่อทั้งระบบ 1,569,161 ล้านบาทโดยจ่ายสินเชื่อแล้ว 299,948 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากต้นปีบัญชี8,994 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15.77 เมื่อเทียบกับเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อในปี 2564 จำนวน 57,000 ล้านบาท มียอดเงินฝากสะสม 1,784,023 เพิ่มขึ้น 2,441 ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 18 ตุลาคม2564 ธ.ก.ส. เปิดรับฝากสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 6 จำนวน50,000 ล้านบาท ทำให้ยอดเงินฝากเพิ่มขึ้นเป็น 1,837,709 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56,127 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.15 จากต้นปีบัญชี มีสินทรัพย์รวม จำนวน 2,122,745 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปีบัญชี จำนวน7,673 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.36 หนี้สินรวมจำนวน 1,979,789 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากต้นปีบัญชี จำนวน 11,261 ล้านบาท หรือร้อยละ0.57 จากการออกพันธบัตร ธ.ก.ส. เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานและการเพิ่มขึ้นของเงินรับฝาก ส่งผลให้อัตราเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 88.39 ส่วนของเจ้าของจำนวน 142,956 ล้านบาท ลดลงจากต้นปีบัญชีร้อยละ 2.45 จากการจัดสรรกำไรสุทธิประจำปีบัญชี2563 เพื่อจ่ายเงินปันผลจำนวน 5,042 ล้านบาทโดยมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามเกณฑ์ Basel II เป็นร้อยละ 12.32 มีรายได้รวม41,084 ล้านบาท ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 39,623 ล้านบาท คงเหลือกำไรสุทธิจำนวน 1,461 ล้านบาท อัตราส่วน NPLs ต่อ Loan อยู่ที่ร้อยละ 4.24 และจากการประเมินภาวะเศรษฐกิจเกษตรในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.5 - 2.8 จากปัจจัยสนับสนุนที่ส่งผลดีต่อราคาสินค้าเกษตรและรายได้ในภาคเกษตร ทั้งปริมาณน้ำฝนที่อยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ยแนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่าเทียบกับครึ่งปีแรก และเศรษฐกิจคู่ค้าที่ขยายตัว ส่งผลต่อความต้องการสินค้าเกษตรและการส่งออกที่เพิ่มขึ้นทั้งในการบริโภคและใช้ในอุตสาหกรรม ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในครึ่งปีหลังเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.06 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อประกอบกับสถานการณ์โควิด -19 ที่ผ่อนคลายการมีมาตรการช่วยเหลือเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศสามารถฟื้นฟูและกลับมาเติบโตอีกครั้ง โดยคาดว่า GDP ของประเทศจะขยายตัวที่ ร้อยละ 2.1
สำหรับการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนหลัง (1ตุลาคม 2564 - 31 มีนาคม2565) ธ.ก.ส. มุ่งเน้นดำเนินการภายใต้แนวคิด “ฟื้นฟูลูกค้า พัฒนาคุณภาพงาน สานต่อธุรกิจชุมชน มุ่งเน้นนวัตกรรมนำองค์กรสู่ความยั่งยืน”ดังนี้ 1) ด้านการฟื้นฟูลูกค้า มุ่งเน้นการตรวจสุขภาพหนี้ไปสู่การบริหารจัดการหนี้ โดยจัดแบ่งลูกค้าตามศักยภาพ และออกมาตรการสนับสนุนลูกค้าชั้นดี เช่น ผัดผ่อนเกณฑ์พิเศษ เป็นต้น พัฒนา/ปรับปรุงเครื่องมือบริหารจัดการหนี้โดยใช้เทคโนโลยี ควบคู่การพัฒนา/ฟื้นฟูอาชีพลูกค้าเพื่อให้มีรายได้
2) ด้านการพัฒนาคุณภาพงาน มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพของข้อมูลคุณภาพการบริการ และ คุณภาพสินเชื่อ โดย ธ.ก.ส. ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานในลักษณะ Duo Transformation คือ การดำรงรูปแบบการดำเนินงานแบบธนาคารดั้งเดิม (Traditional Banking) เพื่อให้บริการลูกค้าที่ยังคุ้นเคยกับรูปแบบการบริการแบบเดิม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและในพื้นที่ชนบท ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนสู่การเป็นธนาคารดิจิทัล(Digital Banking) เพื่อรองรับสังคมยุคดิจิทัลและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ มีการขยายเครือข่ายบริการทางการเงินในรูปแบบOmni Channel ไม่ว่าจะเป็น Banking Agent โดยให้บริการผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ไปรษณีย์ไทยตู้บุญเติม ตู้เติมสบาย และเคาน์เตอร์ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี โครงการให้บริการตู้ ATM ข้ามธนาคาร (White Label) กับธนาคารกรุงศรีอยุธยาและธนาคารกรุงไทย โครงการจัดทำสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Lending) โครงการต่อยอดบริการรับชำระค่าสินค้าและบริการให้กับสมาชิกร้าน น้องหอมจังของ ธ.ก.ส. ด้วยระบบ QR Credit Card Payment บนเครือข่ายของวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดผ่านบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และในช่วงปลายปี 2564 จะมีการยกระดับแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile ให้สามารถรองรับการให้บริการที่หลากหลายและมีฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น
3) ด้านการสานต่อธุรกิจชุมชน มุ่งเน้นการยกระดับลูกค้า และค้นหาลูกค้าใหม่ ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันด้านการพัฒนาชุมชน โดย ธ.ก.ส. ได้จัดการประกวดชุมชนอุดมสุขยอดเยี่ยมระดับประเทศ จากชุมชนอุดมสุข ธ.ก.ส. ทั่วประเทศจำนวน 5,216 ชุมชน เพื่อค้นหาชุมชนต้นแบบที่มีความเข้มแข็ง มาผลักดันให้เกิดการปรับเปลี่ยนสู่ความยั่งยืน อีกทั้งสนับสนุนให้ชุมชนนำเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่มาเพิ่มประสิทธิภาพการประกอบอาชีพ สร้างมูลค่าเพิ่มการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง โดยพัฒนาศักยภาพชุมชนแบบบูรณาการภายใต้แนวคิด (Bio - Circular - Green Economy : BCG) พร้อมเร่งดำเนินการ ค้นหา/พัฒนาลูกค้าใหม่ในกลุ่ม Smart Farmer New gen และกลุ่มสถาบันการเงินชุมชน สนับสนุนให้เกิดธุรกิจชุมชนเพื่อรองรับแรงงานย้ายถิ่น ผ่านโครงการ 1 สาขา สร้างอาชีพ สู้วิกฤติโควิด โดยวางเป้าหมายสนับสนุนแรงงานที่ถูกเลิกจ้างและบัณฑิตที่จบใหม่ ที่มีความสนใจและพร้อมที่จะนำความรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆ เข้ามาพัฒนาภาคการเกษตรจำนวน 100,000 ราย โดยร่วมกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ในการเติมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมการบริหารจัดการธุรกิจและการตลาดเพื่อยกระดับเป็นผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการเพิ่มมูลค่าการผลิต การแข่งขันทางการตลาดและเป็นหัวขบวนของธุรกิจในชุมชน เพื่อให้คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น
4) มุ่งเน้นนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนเกษตรกรนำเครื่องมือที่ทันสมัยโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นำเครื่องมือ Hackathon เข้ามาช่วยในการพัฒนานวัตกรรม และขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตร อีกทั้ง ธ.ก.ส. ได้มีการร่วมลงทุนบริษัท คิว บ็อกซ์ พอยท์ จํากัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มFarmbook ที่ช่วยเกษตรกรวางแผนการผลิตพืชผักอาหารปลอดภัยในลักษณะซื้อขายล่วงหน้า และบริษัท อินฟิวส์ จํากัด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน “มะลิซ้อน” ที่ช่วยอํานวยความสะดวกในการบันทึกแปลงที่ดินของเกษตรกรและแจ้งการขอชดเชยค่าสินไหม เพื่อเป็นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการเกษตรเข้ามาร่วมพัฒนา สร้างมูลค่าเพิ่มทางการผลิตและการแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเปิดกว้างให้ผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรมอื่น ๆ และมีอุดมการณ์ในการพัฒนาภาคเกษตร แต่ขาดโอกาสในการเพิ่มทุนให้เข้ามาร่วมงานกับธ.ก.ส. มากขึ้น นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ร่วมกับ สวทช. / NECTEC NIA depa และกรมส่งเสริมการเกษตร จัดตลาดนัดเทคโนโลยีและนวัตกรรม(Investor Day) เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรได้มีโอกาสพบเจ้าของผลงานเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะนำมาต่อยอดธุรกิจ ในวันที่ 9 ธันวาคม 2564 ณ ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ
5) ด้านการนำองค์กรสู่ความยั่งยืน มุ่งเน้นการบริหารจัดการภายใต้แนวคิด (Environmental Social and Governance : ESG) สู่ธนาคารยั่งยืน โดยนำแนวคิด “Thriving in the Next Normal : สร้างความพร้อมประเทศไทยสู่โอกาสทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด - 19 ได้แก่ การสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพและเพิ่มรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคทางสังคมให้ดีขึ้น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการธนาคารต้นไม้ ชุมชนไม้มีค่า การต่อยอดอุตสาหกรรมทางการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า สร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตร มาเป็นแนวทางการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย จากความมุ่งมั่นในการดำเนินงานทำให้ ธ.ก.ส. ได้รับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ 2564 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.)