แม็คโคร’ ยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนและหุ้นสามัญเดิม
จำนวนไม่เกิน 2,270 ล้านหุ้น เพิ่มสัดส่วน Free Float ร่วมมือกลุ่มโลตัสส์ขยายตลาดต่างประเทศ
หนุน SMEs พร้อมเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์ม O2O รับยุคดิจิทัล
บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO ห รือ บริษัทฯ) ยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering) จำนวนไม่เกิน 2,270 ล้านหุ้น ประกอบด้วย 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน1,362 ล้านหุ้น และ 2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บมจ. ซีพี ออลล์ บจ. เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง และ บจ. ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง รวมจำนวนไม่เกิน 908 ล้านหุ้น หลังรับโอนกิจการกลุ่มโลตัสส์แล้วเสร็จ เสริมความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน และเพิ่มสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ตามเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดึงความสนใจของนักลงทุนสถาบันทั้งในไทยและต่างชาติเข้าลงทุนระยะยาว กำหนดขึ้นเครื่องหมาย Record Date ในวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ เพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญของบริษัทฯ บางส่วนตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทฯจากหุ้นทั้งหมดที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งนี้ พร้อมร่วมมือกลุ่มโลตัสส์เพิ่มโอกาสขยายตลาดต่างประเทศผ่าน “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” หนุน SMEs ผู้ผลิตสินค้ารายย่อยของไทย เป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าในระดับภูมิภาค พร้อมพัฒนาแพลตฟอร์ม O2O รับยุคดิจิทัล
นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร - กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร หรือ MAKRO เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2564 ให้รับโอนกิจการกลุ่มโลตัสส์ ในประเทศไทยและมาเลเซีย จากบริษัท ซี.พี.รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด (CPRH) และดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement หรือ PP) รวมถึงเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering หรือ PO) โดยปัจจุบัน บริษัทฯ ได้รับโอนกิจการกลุ่มโลตัสส์แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ซึ่งนับเป็นวิสัยทัศน์ที่ก้าวสำคัญของบริษัทฯ ที่จะเสริมศักยภาพและเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยนำความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกของทั้ง แม็คโคร และ กลุ่มโลตัสส์ เพื่อสนับสนุน SMEs และผู้ผลิตสินค้ารายย่อยของไทยผ่าน“แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” ที่จะจัดจำหน่ายสินค้าสู่ผู้บริโภคในระดับภูมิภาคเอเชียและสร้างการยอมรับในมาตรฐานสินค้าไทยสู่ระดับสากล ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีในการเลือกซื้อสินค้า
ปัจจุบัน บริษัทฯ ถือเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการชั้นนำในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคเอเชีย โดยมีแม็คโครที่ดำเนินธุรกิจค้าส่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในทวีปเอเชียหากพิจารณาจากยอดขายรวมในปี2563 โดยธุรกิจค้าส่งของแม็คโคร แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ (1) ธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้า ซึ่งเน้นการจำหน่ายอาหารสด อาหารแห้ง และสินค้าอุปโภค (Non-food products) แก่ลูกค้าที่เป็นร้านค้าปลีกรายย่อย (Food retailer) ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และจัดเลี้ยง(HoReCa) และผู้ประกอบธุรกิจบริการ โดย ณ วันที่ 30มิถุนายน 2564 แม็คโครมีสาขาทั้งหมด 145 สาขา แบ่งเป็นสาขาในไทย 138 สาขา และต่างประเทศ 7 สาขา ได้แก่ กัมพูชา 2 สาขา อินเดีย 3 สาขา (ภายใต้แบรนด์ “LOTS Wholesale Solutions”) จีน 1 สาขา และเมียนมา 1 สาขา คิดเป็นพื้นที่ขายรวมกว่า 800,000 ตารางเมตร และ (2) ธุรกิจนำเข้า ส่งออก จำหน่ายอาหารแช่แข็งและแช่เย็นพร้อมบริการจัดส่ง (Food Service) แก่ลูกค้าหลักกลุ่มโรงแรมระดับ 4-5 ดาว ร้านอาหารระดับบน โรงพยาบาลและสายการบิน
ส่วนกลุ่มโลตัสส์ซึ่งดำเนินธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยและมาเลเซีย โดย ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 กลุ่มโลตัสส์มีร้านค้าในประเทศไทย 2,094 แห่ง ประกอบด้วย ร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต 219 แห่ง ซูเปอร์มาร์เก็ต 196 แห่ง และมินิซูเปอร์มาร์เก็ต 1,679 แห่ง รวมถึงยังมีการดำเนินธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าอีก 196 แห่ง (ไม่รวมศูนย์การค้าที่ลงทุนโดยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าโลตัสส์ รีเทล โกรท หรือ LPF รวม 23 แห่ง) โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่ประมาณร้อยละ 96 นอกจากนี้ โลตัสส์ยังมีธุรกิจร้านค้าปลีกและธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าในประเทศมาเลเซีย โดย ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564โลตัสส์มีสาขาทั้งหมด 62 แห่งในประเทศมาเลเซียประกอบด้วย ร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต 46 แห่ง และซูเปอร์มาร์เก็ต 16 แห่ง รวมถึงมีธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้า 57 แห่ง คิดเป็นพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวมประมาณ 296,000 ตารางเมตร มีอัตราเช่าพื้นที่ประมาณร้อยละ 92
นางสุชาดา กล่าวต่อว่า หลังจากรับโอนกิจการกลุ่มโลตัสส์ทำให้บริษัทฯ มีธุรกิจแบบครบวงจร ครอบคลุมธุรกิจค้าส่งแบบ B2B (Business to Business หรือ การค้ากับผู้ประกอบการ) ธุรกิจค้าปลีกแบบ B2C (Business to Consumer หรือ การค้ากับผู้บริโภค) และธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้า ในไทยและมาเลเซีย โดยบริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์มุ่งสร้างแพลตฟอร์มธุรกิจ ที่มีรูปแบบร้านค้าและช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย (omni-channel) โดยการผสมผสานระหว่างช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ (offline and online หรือ O2O) เพื่อตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมถึงสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้บริโภค โดยจะมุ่งเน้นการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน เช่น กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และภูมิภาคเอเชียใต้เช่นอินเดีย เป็นต้น ซึ่งยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ จะลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายแบบ B2B B2C และ B2B2C ซึ่งเป็น “การค้าปลีกรูปแบบใหม่” ที่มุ่งเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อสร้าง Online Ecosystem (ระบบนิเวศออนไลน์) และเชื่อมต่อระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค เพื่อต่อยอดธุรกิจขับเคลื่อนการเติบโตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และเป็นผู้นำการจำหน่ายอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ในประเทศ หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ จะมุ่งเพิ่มขีดความสามารถห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างลงทุนก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่ทันสมัยในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พื้นที่ใช้สอย 88,000 ตารางเมตร สามารถกระจายสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์ (Order Fulfilment) และเพิ่มขีดความสามารถจัดส่งสินค้า
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษา
ทางการเงิน กล่าวว่า การที่แม็คโครรับโอนกิจการกลุ่มโลตัสส์ จะช่วยเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศเสริมศักยภาพการแข่งขันกับผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งระดับโลก เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว และจะเป็นผู้ประกอบการจากประเทศไทยที่ปักธงสู่ผู้นำธุรกิจในระดับภูมิภาค โดยแม็คโครและกลุ่มโลตัสส์สามารถร่วมกันลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม O2O ในระดับภูมิภาค โดยใช้จุดแข็งของแม็คโครที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าส่ง และกลุ่มโลตัสส์ที่เป็นผู้นำตลาดค้าปลีก ร่วมมือเติบโตไปในระดับภูมิภาค และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ แม็คโครจะได้รับผลดีจากกลุ่มโลตัสส์ที่มีพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้าจำนวนมาก ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาคึกคัก ประชาชนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านและจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมากลุ่มโลตัสส์จะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และมาตรการล็อกดาวน์ แต่ยังคงรักษาอัตราการเช่าพื้นที่อยู่ในระดับสูงกว่า