SCGP ประกาศผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปีนี้ ทำรายได้จากการขาย 89,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 และมีกำไรสำหรับงวด 6,179 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มองบรรจุภัณฑ์ไตรมาสสุดท้ายในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัว
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ งวด 9 เดือนแรกของปี 2564 สามารถรักษาอัตราเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 89,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 6,179 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 15,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
รายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น เกิดจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตประจำวันยังเติบโตได้ดีและต่อเนื่อง เช่น อาหารแช่แข็ง อาหารและผลไม้กระป๋อง อาหารสำเร็จรูป เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย และผลิตภัณฑ์สำหรับการดูแลบ้าน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา ยุโรป และภูมิภาคอื่น ๆ ส่งผลดีต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ ยังคงมีการปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนานวัตกรรมให้มีความหลากหลาย สามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้งานของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนตามแผนกลยุทธ์ที่ได้วางไว้ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีปิดดีลการเข้าควบรวมกิจการ (Merger & Partnership หรือ M&P) รวม 3 ดีล ได้แก่ กิจการบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ บรรจุภัณฑ์อาหาร และบรรจุภัณฑ์แบบคงรูป ที่มีฐานการผลิตในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย และมีดีลที่อยู่ระหว่างดำเนินการซึ่งคาดว่าจะปิดได้สำเร็จในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ได้แก่ การเข้าถือหุ้นในบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์คุณภาพสูงในประเทศสเปน อีกทั้งยังได้ดำเนินการสร้างการเติบโต (Organic Expansion) ด้วยงบการลงทุน 11,793 ล้านบาท เพื่อเพิ่มการเติบโตด้วยการสร้างฐานการผลิตใหม่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม และศึกษาโอกาสทางการตลาดทางตอนใต้ของประเทศจีน
นายวิชาญ กล่าวต่อว่า แนวโน้มตลาดบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ประกอบกับประสิทธิภาพในการผลิตสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานที่ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจทั่วโลกต่อไป
สำหรับการดำเนินงานของSCGP สามารถสร้างการเติบโตในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2564 บริษัทฯ จะสามารถทำรายได้จากการขายมากกว่า 100,000 ล้านบาท และใช้เงินลงทุนในการขยายธุรกิจมากกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อรักษาความเป็นผู้นำโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน โดยยังคงมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและเมกะเทรนด์ของเศรษฐกิจไทยและอาเซียน การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน อาทิ เทคโนโลยีเครื่องจักร (Mechanization) ระบบอัตโนมัติ (Automation) ระบบปัญญาประดิษฐ์(AI: Artificial Intelligence) เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ คาดการณ์ และเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตและผลิตผล (Productivity) ให้กับภาคอุตสาหกรรม รวมถึงยังคงให้ความสำคัญในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม อาทิ การพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ (Recyclability) และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ในกระบวนการผลิต เพื่อให้บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจไปอย่างยั่งยืน ตามนโยบายของสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG)” นายวิชาญ กล่าวเพิ่มเติม