“สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์”
ยื่นไฟลิ่ง ขาย
IPO 25.4 ล้านหุ้น
ระดมทุนขยายโรงงาน
-
ลงทุนเครื่องจักร รับดีมานด์บรรจุภัณฑ์พุ่ง
“สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์
หรือ STP” เตรียมความพร้อม
สยายปีกธุรกิจบรรจุภัณฑ์ รับภาพรวมตลาดขยายตัว ล่าสุด ยื่นไฟลิ่ง
ก.ล.ต.
เสนอขาย IPO จำนวน
25.4 ล้านหุ้น ระดมทุนเข้าตลาด
mai เงินที่ได้ใช้ขยายโรงงาน
- ลงทุนเครื่องจักร
รวมทั้ง ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ด้าน “บล.
เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)” เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นายสุรนัย โรจน์วงศ์จรัต
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์
จำกัด (มหาชน)
หรือ STP เปิดเผยว่า
บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์แสดงข้อมูล
(ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.)
เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้นจำนวน
25,400,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้
1 บาท/หุ้น
หรือคิดเป็น 25.4% ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ
ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้
เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
เอ็ม เอ
ไอ (mai) โดยมี
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ
(ประเทศไทย) จำกัด
(มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้สำหรับลงทุนในโครงการขยายโรงงาน
และลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม
รวมทั้ง ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและการดำเนินการอื่นใดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกิจการ
โดย STP ประกอบธุรกิจการพิมพ์บรรจุภัณฑ์กระดาษและสิ่งพิมพ์ทุกชนิด
เป็นผู้ให้บริการตั้งแต่การพัฒนาและออกแบบบรรจุภัณฑ์
การจัดทำเพลทที่มีคุณภาพสูง
การพิมพ์งานสูงสุด 12 สี
และมีบริการหลังพิมพ์ต่างๆ
เช่น การเคลือบยูวี
การปั๊มฟอยล์ทอง การปั๊มฟอยล์เงิน
การประกบลูกฟูก การไดคัท
เป็นต้น ปัจจุบัน
บริษัทฯ มีกลุ่มผู้ผลิตอาหารเป็นฐานลูกค้ารายใหญ่
คิดเป็นสัดส่วน 91% และ
94% ของรายได้ปี 2563 และ
ครึ่งปีแรก 2564 ตามลำดับ
และมีกำลังการผลิตรวม 10,000 ตันต่อปี
บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายโอกาสการเติบโตด้วยวิสัยทัศน์
ในการดำเนินธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่เติมเต็มความต้องการของลูกค้าด้วยคุณภาพ
บริการ และกระบวนการผลิตที่เป็นมาตรฐานสากล
ขณะที่ ภาพรวมตลาดบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มเติบโต
รับตลาดอีคอมเมิร์ซและอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นต่อสินค้าอุปโภคและบริโภค
นอกจากนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า
40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีจากงบเฉพาะกิจการในแต่ละงวด
สำหรับภาพรวมธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา
STP มีทิศทางการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง
และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ
COVID-19 ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี
2562 เป็นต้นมา ได้ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลก
ที่เพิ่มปริมาณการจับจ่ายใช้สอยในอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคภายในบ้านมากขึ้น
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ
โดยหลักเป็นผลมาจากลูกค้ารายใหญ่รายเดิม
ซึ่งส่วนมากเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารทะเลบรรจุกระป๋องและอาหารทะเลแปรรูป
ได้เพิ่มยอดสั่งผลิตขึ้น
โดยผลการดำเนินงานในช่วง
3 ปีที่ผ่านมา (ปี
2561 - 2563) STP มีรายได้จากการขายและการให้บริการอยู่ที่
352.2 ล้านบาท 370.2 ล้านบาท
และ 440.6 ล้านบาท
ตามลำดับ สนับสนุนกำไรสุทธิอยู่ที่
63.2 ล้านบาท 59.0 ล้านบาท
และ 95.4 ล้านบาท
ตามลำดับ สำหรับ
ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรก
ปี 2564 มีรายได้จากการขายและการให้บริการอยู่ที่
282.8 ล้านบาท ขณะที่
กำไรสุทธิอยู่ที่ 70.2 ล้านบาท
ภาพรวมผลการดำเนินงานมีการเติบโตต่อเนื่อง
จากความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
โดยโครงสร้างรายได้หลักของ STP
มาจากรายได้จากการขายและการให้บริการ ในครึ่งปีแรก
2564
มีสัดส่วนประมาณ 97% แบ่งเป็น
รายได้จากการผลิตบรรจุภัณฑ์ด้วยกระดาษที่บริษัทฯ
จัดหาให้
มีสัดส่วนมากกว่า 94% และที่ลูกค้าจัดหามาเองประมาณ
3% ซึ่งรายได้จากส่วนนี้เติบโตต่อเนื่อง
ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากการประหยัดเนื่องจากขนาด
(Economies of Scale) ด้วยต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง
สนับสนุนอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ
เพิ่มขึ้นจาก 35.4% ในปี
2561 เป็น 41.6% ในงวดครึ่งปีแรก
2564 แม้ในปี 2562 บริษัทฯ
มีรายได้จากการขายและการให้บริการเพิ่มขึ้นแต่กำไรสุทธิลดลงเล็กน้อยสืบเนื่องจากการลดลงของรายได้อื่น
แผนการระดมทุนครั้งนี้ จึงเป็นการปลดล็อกข้อจำกัดในด้านการผลิต
ทำให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
และการขยายไปยังฐานลูกค้ารายใหม่
ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยเพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการภายในองค์กร
เพื่อก้าวสู่ผู้ประกอบธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์ชั้นนำของประเทศไทย
ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้า
และเติบโตอย่างยั่งยืน