@ ปูพรมขยายฐานลูกค้าใหม่-รุกเพิ่มกลุ่มอีคอมเมิร์ซ
บี จิสติกส์ เตรียมจัดทำแผนยุทธศาสตร์ปี 65 เสนอบอร์ด เผย Master
Plan โฟกัสการเติบโตยั่งยืน เน้นประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนขนส่ง
หวังเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร ปูพรมขยายฐานลูกค้าใหม่
รุกเพิ่มกลุ่มอีคอมเมิร์ซ นอกเหนือจากความร่วมมือกับลาซาด้า
ในการให้บริการขนส่งสินค้าในกรุงเทพ-ปริมณฑลมั่นใจโค้งสุดท้ายของปีนี้ ยังเติบโตตามเป้าหมาย ตั้งเป้าล้างขาดทุนสะสม
84 ล้านบาทภายใน 1-2 ปี
ดร.ปัญญา บุญญาภิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท
บี จิสติกส์ จำกัด(มหาชน) หรือ B เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำแผนยุทธศาสตร์
(Master Plan) ของปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะเสนอบอร์ดภายในเดือนนี้
แผนหลักของบริษัทจะให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักคือการให้บริการขนส่งและโลจิสติกส์ โดยเป้าหมายสำคัญก็คือการเติบโตที่ยั่งยืน รวมทั้งบริหารจัดการขนส่งและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร
ทั้งนี้จะมีการต่อยอดธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งและโลจิสติกส์เข้ามาเสริม เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจให้กับบริษัท
ดร.ปัญญา กล่าวต่อว่า ธุรกิจหลักของ B คือการให้บริการขนส่งครบวงจร
ก็ยังถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 80 % ของรายได้รวม และที่เหลือจะเป็นรายได้จากการลงทุนอื่น ๆ
เพื่อที่จะสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เข้ามาเสริม
ถือเป็นการกระจายรายได้ให้กับบริษัท และช่วยลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์
โดยเน้นการลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
สำหรับภาพรวมธุรกิจให้บริการขนส่ง
บริษัทมีจำนวนรถหัวลากอยู่ที่ 37 คัน
นอกจากนี้จะมีการใช้บริการซับคอนแทรคที่เป็นพันธมิตรของบริษัทอีกประมาณ 100
คัน เพื่อรองรับความต้องการใช้ รถหัวลากได้เพียงพอ
ปัจจุบันบริษัทได้มีการขยายฐานลูกค้าไปในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
เพราะเป็นกลุ่มลุกค้าที่มีความต้องการใช้บริการขนส่งและโลจิสติกส์เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้บริษัทเตรียมที่จะขยายเพิ่มกลุ่มลูกค้าอีคอมเมิร์ซ
นอกเหนือจากความร่วมมือกับทางลาซาด้า เอ็กซ์เพรส จำกัด
ในการให้บริการขนส่งสินค้าในกรุงเทพ-ปริมณฑล
เนื่องจากมองว่ากลุ่มอีคอมเมิร์ซเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตสูง
และมีความต้องการใช้บริการขนส่งสูง
สำหรับภาพรวมการลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภค
ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนในเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้ว 2
โครงการคือ โครงการโซลาร์ฟาร์ม SPP ภายใต้บริษัทย่อยสยาม
โซลาร์ ที่อยู่ในชัยภูมิ กำลังการผลิต 27 เมกะวัตต์ โดยได้ COD
ไปแล้วตั้งแต่ปี 56 และโครงการโซลาร์ฟาร์ม
ในประเทศเวียดนาม ที่บริษัทเข้าไปร่วมลงทุน กำลังการผลิต 29 เมกะวัตต์
ซึ่งได้ COD ไปแล้วเมื่อปี 63 ที่ผ่านมา โดยที่ทั้ง 2 โครงการถือว่าเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้เสริมเข้ามาให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ก็ได้ลงทุนในธุรกิจผลิตน้ำดิบ โดยเข้าไปถือหุ้น 51%
ในบริษัท เทพฤทธา จำกัด
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้
บริษัทคาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย รัฐบาลทยอยปลดล็อกดาวน์ รวมทั้งเตรียมเปิดประเทศในวันที่ 1
พ.ย นี้ จะส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์สดใสมากขึ้น
รวมทั้งจะมีการรับรู้รายได้ในส่วนของธุรกิจผลิตน้ำดิบเพิ่มขึ้น
จากฤดูฝนในปีนี้ได้เติมน้ำเข้าบ่ออีกเป็นจำนวนมาก ทำให้มีปริมาณน้ำดิบเพื่อส่งจำหน่ายมีรายได้เพิ่มขึ้น
ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้รายได้เติบโตตามเป้าหมายที่ 10-15%
“แผนยุทธศาสตร์ปี
65 จะช่วยขับเคลื่อนให้ B มีความแข็งแกร่งมากขึ้น
เพราะปัจจุบันสถานะของบริษัทมีความพร้อมในการขยายธุรกิจเต็มที่ ฐานะการเงินก็มีความแข็งแกร่ง
สัดส่วนหน้าสินต่อทุนเหลือแค่ 0.18 เท่า
ตอนนี้บริษัทแทบไม่มีเงินกู้ยืม ภาวะดอกเบี้ยก็น้อย
ทำให้บริษัทมีความคล่องตัวในการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ
ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีแรก มีกำไรสุทธิกว่า 98 ล้านบาท
เติบโตกว่า 688% ได้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทและก็มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
บริษัทตั้งเป้าหมายภายใน 1-2 ปี บริษัทจะสามารถล้างขาดทุนสะสมที่อยู่ราว
84 ล้านบาท ได้ทั้งหมด” ดร. ปัญญากล่าว