บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ตอกย้ำกลยุทธ์ธุรกิจช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ เดินหน้าลุยขับเคลื่อนธุรกิจน้ำ-ไฟฟ้า
เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มพลังงานอัจฉริยะรองรับการขยายตัวของโครงการ
Solar Rooftop ผ่านเทคโนโลยี Blockchain หนุนการเติบโตของรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติทั้งปีโต
25% และรักษาระดับ EBITDA Margin ไม่น้อยกว่า 50%
ดร.นิพนธ์ บุญเดชานันทน์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ว่า
บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจสาธารณูปโภคภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ
กรุ๊ป ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมโซลูชันพลังงานหมุนเวียน
โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง
ตอกย้ำการเติบโตของรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติทั้งปีให้เพิ่มขึ้น 25%
เมื่อเทียบกับปีก่อน พร้อมทั้งรักษาอัตรากำไรก่อนหักค่าเสื่อมราคาดอกเบี้ยและภาษี (EBITDA Margin) ให้อยู่ที่ระดับไม่น้อยกว่า 50% โดยธุรกิจหลักที่ผลักดันให้
WHAUP สามารถขับเคลื่อนการเติบโตสอดรับเป้าหมายที่วางไว้ ประกอบด้วย
ธุรกิจด้านสาธารณูปโภค ปริมาณการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยในส่วนของธุรกิจในประเทศนั้นมีความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งจากกลุ่มลูกค้าเดิมที่มีการขยายกำลังการผลิต
และลูกค้ารายใหม่ที่เริ่มทยอยเปิดดำเนินการ เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GSRC ของ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ขนาด
2,650 เมกะวัตต์ ที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD)
ในส่วนของหน่วยผลิตที่ 1 ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา และจะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในส่วนของหน่วยผลิตที่
2 3 และ 4 ที่เหลือภายในปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะมียอดจำหน่ายน้ำเฉพาะจากโครงการดังกล่าวในปี
2565 ไม่น้อยกว่า 16.2 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม เช่น โครงการ Wastewater
Reclamation และการผลิตน้ำที่ปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized
Water) โดยใช้เทคโนโลยีเมมเบรนรี
เวิร์สออสโมซิส ควบคู่ไปกับการพัฒนา Smart Utilities Service Platform และ Innovative Solution เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม
ส่งผลให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีปริมาณการจำหน่ายน้ำและการบำบัดน้ำเสียในประเทศ
ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 และเมื่อพิจารณาเฉพาะผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่มจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ
170 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและดำเนินการก่อสร้างอีกหลายโครงการ
อาทิ โรงบำบัดน้ำแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36
ซึ่งมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โครงการผลิตน้ำที่ปราศจากแร่ธาตุสำหรับจำหน่ายแก่ลูกค้านอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอด้วยกำลังการผลิต
1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และโครงการแหล่งน้ำดิบทางเลือกซึ่งมีกำลังการผลิต
6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
ในส่วนของธุรกิจน้ำที่ประเทศเวียดนามก็มีการเติบโตเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการดวง ริเวอร์ เซอร์เฟส วอเตอร์แพลนท์ (Duong River
Surface Water Plant: SDWTP) ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 34 ที่มียอดจำหน่ายน้ำเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปีก่อนหน้า เนื่องจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในบริเวณจังหวัดฮานอย
และจังหวัดใกล้เคียง เช่น จังหวัดบั๊กนิญ (Bac Ninh) และจังหวัดฮึงเอียน
(Hung Yen) ในขณะที่
บริษัท เก๋อ หล่อ วอเตอร์ ซัพพลาย (Cua Lo Water Supply) บริษัทผลิตและจำหน่ายน้ำประปาที่บริษัทฯ
ถือหุ้นร้อยละ 47 ปัจจุบันได้มีการขยายกำลังผลิตเพิ่มเป็น 8.4 ล้านลูกบาศก์เมตร
โดยกำลังผลิตที่เพิ่มเพื่อรองรับการเติบโตของประชากรที่สูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำประปาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ
ธุรกิจด้านพลังงาน บริษัทฯ ยังคงมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ควบคู่กับการพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียน ผ่านการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาให้บริการกลุ่มลูกค้าทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม
โดยในปี 2564 ตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นทั้งสิ้น 670
เมกะวัตต์ โดยการเติบโตหลักมาจากการโครงการ Solar Rooftop
ซึ่งในปีนี้มีการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว อาทิ โครงการคอนติเนนทอล ไทร์ส ซึ่งตั้งในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ
อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 และโครงการของฮอนด้า จังหวัดปราจีนบุรี ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 2
บริษัทฯ มีโครงการ Solar Rooftop ที่เปิดดำเนินการแล้วรวมทั้งสิ้น 46 เมกะวัตต์
และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการ Solar Rooftop รวมทั้งสิ้น 63
เมกะวัตต์ จากเป้าปี 2564 ที่วางไว้ 90
เมกะวัตต์ และคาดว่าจะขยายธุรกิจ Solar Rooftop ได้ครบ 300
เมกะวัตต์ในปี 2566 ตามแผนที่วางไว้
ขณะเดียวกันภายใต้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นโซลูชันนวัตกรรม
บริษัทฯได้ร่วมมือกับพันธมิตรด้านพลังงานชั้นนำ อาทิ บมจ.ปตท.
และ บริษัท เซอร์ทิส เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มพลังงานอัจฉริยะเพื่อซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในกลุ่มลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ
ได้แก่ ระบบการซื้อขายไฟฟ้าแบบ P2P Energy Trading โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain โดยโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการทดลองด้านนวัตกรรมพลังงาน
โดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (ERC Sandbox) พร้อมกันนี้
บริษัทฯ ยังทดสอบการนำระบบกักเก็บพลังาน Battery Energy Storage System
(BESS) มาใช้ควบคู่กับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
โดยเริ่มติดตั้งที่โรงกรองน้ำของบริษัทฯ ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิรน์ซีบอร์ด (ระยอง)
และมีแผนที่จะขยายไปยังสถานประกอบการอื่นๆของบริษัทฯ
และเสนอเป็นบริการให้แก่ลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ของดับบลิวเอชเอต่อไป
โดยบริษัทฯ เชื่อว่านวัตกรรมต่างๆ
เหล่านี้จะสร้างโอกาสในการขยายกำลังการผลิตในส่วนของ Renewable Energy และ Business Model ใหม่ให้กับบริษัทฯ
ได้อย่างมีนัยสำคัญ ภายหลังจากที่ภาครัฐปรับกฎเกณฑ์รองรับแล้ว พร้อมกันนี้ยังมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่ต่ำลงอีกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าแสวงหาโอกาสในการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A opportunity) ต่างๆ
เพื่อเสริมศักยภาพการเติบโต ซึ่งจากแผนการขยายธุรกิจดังกล่าวข้างต้น
เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมโซลูชั่นทั้งด้านพลังงานทดแทนและสาธารณูปโภค
เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจสาธารณูปโภคและธุรกิจพลังงานของภูมิภาค