ดร.วันดีกล่าวต่อว่า บริษัทมีแผนนำเงินจากการเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าว เพื่อใช้ลงทุนในโครงการโซลาร์ฟาร์มUkujima Mega Solar Project ที่ญี่ปุ่น ทั้งยังเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจของบริษัทต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้โครงการดังกล่าว มีงบการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 178,758 ล้านเยน โดยบริษัทฯ ถือหุ้น 17.92% คิดเป็นเงินลงทุน9,000 ล้านเยน ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ได้ชำระทุนไปแล้วจำนวน 2 รอบ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 จำนวนเงิน2,289 ล้านเยน และวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 จำนวนเงิน 1,924 ล้านเยน ดังนั้นบริษัทจะนำเงินไปทยอยจ่ายเงินเพิ่มทุนให้กับ Ukujima ในงวดที่ 3 และ 4 เร็วๆ นี้ ส่วนงวดสุดท้ายกว่า 1,000 ล้านบาท บริษัทจะชำระทุนที่เหลือหรือประมาณ4,000 กว่าล้านเยน ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 เพราะเป็นสัญญาการจ่ายเงินตามความคืบหน้าโครงการ เนื่องจากที่ประเทศญี่ปุ่นได้ประสบกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เช่นเดียวกับประเทศอื่นทั่วโลก ทำให้งานก่อสร้างล่าช้าออกไปจากแผนงานเดิมเล็กน้อย
ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างขั้นตอนการก่อสร้าง และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้สร้างผลตอบแทนที่ดีให้บริษัท ได้ในปี 2566 เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นปีที่โครงการตั้งเป้าดำเนินการผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ COD และจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มในปี พ.ศ.2567 เป็นต้นไป เช่นเดียวกับโครงการโซลาร์ฟาร์มแห่งอื่นที่ญี่ปุ่นที่บริษัทได้เข้าไปลงทุนและให้ผลตอบแทนที่ดีกลับคืนมา
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับเครดิตขององค์กรอยู่ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” และได้รับการจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท (หนึ่งพันห้าร้อยล้านบาท) ที่ระดับ “A-” จากทริสเรทติ้ง สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และความมั่นคงแข็งแกร่งขององค์กรจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
สำหรับบริษัท SPCG ในฐานะผู้บุกเบิกและผู้นำธุรกิจด้านพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ บริษัทยังคงมุ่งมั่นรักษาสิ่งแวดล้อม และเดินหน้าช่วยลดสภาวะโลกร้อนเทียบเท่ากับการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศของโลกประมาณ 200,000 ตัน CO2 ต่อปี จากการดำเนินงานโครงการโซลาร์ฟาร์ม 36 โครงการ
รวมกำลังการผลิต 260 เมกะวัตต์