หลักทรัพย์บัวหลวง แนะผู้ลงทุนหาจังหวะสะสมหุ้น, ETF หรือกองทุนรวม “กลุ่ม Healthcare” ตลาดสหรัฐฯ รับเทรนด์โลกที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย หลังประชากรอายุกว่า 65 ปี ในสหรัฐฯ อาจมีสัดส่วนถึง 23% ของชาวอเมริกันทั้งหมดในปี 2568 ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมีแนวโน้มขยับตัวขึ้น สะท้อนผ่านบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่หันมารุกธุรกิจ Healthcare ต่อเนื่อง
นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากเทรนด์โลกที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย ส่งผลให้หุ้นกลุ่ม Healthcare ตลาดสหรัฐฯ มีความน่าสนใจ สอดคล้องกับงานวิจัย Morgan Stanley ที่คาดการณ์จำนวนผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ในประเทศสหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้นสู่ 75 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 23% ของประชากรทั้งหมด ในปี 2568 จากปัจจุบันที่มีจำนวนประมาณ 54 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 20% ขณะที่ศูนย์บริการด้านประกันสุขภาพของสหรัฐฯ (CMS) คาดว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปี จากปี 2543 ที่มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ 13% ขยับเป็น 26% ต่อตัวเลข GDP ในปี 2583
ในด้านผลประกอบการรอบ 10 ปีที่ผ่านมา หุ้น Healthcare ที่อยู่ในดัชนี S&P500 จำนวน 63 บริษัท ก็มีอัตราการเติบโตของกำไรสม่ำเสมอเฉลี่ยประมาณ 7% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2554 - 2563 ส่วนปี 2564 ที่เกิดการแพร่ระบาด COVID-19 ส่งผลให้ภาพรวมกำไรของดัชนี S&P500 หดตัวประมาณ 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่กลุ่ม Healthcare กลับมีกำไรเติบโต 2.4% นอกจากนั้นกำไรของกลุ่ม Healthcare ยังมีสัดส่วนประมาณ 17% ของดัชนี S&P500 แต่ในเชิงมูลค่าตลาด หรือ Market Cap ของกลุ่ม Healthcare ยังมีสัดส่วนเพียง 13% เท่านั้น แสดงให้เห็นว่า มูลค่าหุ้น Healthcare ในดัชนี S&P500 ยังถูก หากเทียบกับศักยภาพในการทำกำไรของกลุ่ม
ปัจจุบันธุรกิจ Healthcare ในสหรัฐฯ สามารถแบ่งให้เข้าใจง่ายเป็น 6 กลุ่มหลัก คือ 1.กลุ่มบริษัทผลิตจำหน่ายยา เช่น Pfizer และ Johnson & Johnson 2.กลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น Amgen และ Moderna 3.กลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์, หุ่นยนต์, เข็มฉีดยา, ถุงมือยาง เช่น Intuitive Surgical 4.กลุ่มให้บริการห้องปฏิบัติการ, ค้าปลีกขายยา เช่น CVS Health 5.ประกันสุขภาพ เช่น UnitedHealth Group และ 6.กลุ่ม Data Management เช่น Nuance Communications ซึ่งหุ้นหลาย ๆ ตัว เราแนะนำลงทุนในช่วงที่ผ่านมา และสามารถปรับตัวขึ้นได้ดีเช่นกัน
นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในตลาดสหรัฐฯ หลาย ๆ แห่ง ต่างหันมารุกธุรกิจ Healthcare มากขึ้น เช่น Apple ที่มีนาฬิกาเพื่อสุขภาพ Apple Watch ล่าสุดเพิ่งเปิดตัว Series 7, Amazon ที่เข้าเทคโอเวอร์ PillPack ร้านขายยาออนไลน์ในสหรัฐฯ, Microsoft เข้าซื้อกิจการ Nuance Communications บริษัทผู้พัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านการสนทนาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในโรงพยาบาลของสหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนเม.ย.2564, Google ซื้อกิจการ Fitbit นาฬิกา Smartwatch และ Beyond Meat ธุรกิจเนื้อที่ทำมาจากผัก และ Walmart ที่เปิดธุรกิจคลินิก Walmart Health เป็นต้น
จากปัจจัยดังกล่าว จึงแนะนำหาโอกาสเข้าลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีความโดดเด่น เช่น หุ้น Pfizer, หุ้น Johnson & Johnson, หุ้น CVS ร้านขายยาใหญ่สุดในสหรัฐฯ ที่ได้รับอานิสงส์จากการฉีดวัคซีน COVID-19, หุ้น UnitedHealth ผู้ให้บริการด้านสุขภาพรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ หรือกระจายเงินลงทุนไปในกองทุน ETF เช่น Healthcare Select Sector SPDR Fund (XLV) ที่ลงทุนในหุ้น Healthcare ตลาดสหรัฐฯ หรือ iShares Global Healthcare ETF (IXJ) ที่ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare ทั่วโลก ซึ่ง ETF ทั้งสองตัวมีค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผล ด้วย Expensive Ratio ระดับ 0.12% และ 0.43% ต่อปี ตามลำดับ โดยทั้งหมดนี้สามารถลงทุนได้สะดวก ผ่านระบบ Global Invest ของหลักทรัพย์บัวหลวง
ด้านนายเสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค ผู้อำนวยการ ฝ่ายค้าตราสารการเงิน หลักทรัพย์บัวหลวง กล่าวว่า ธุรกิจ Healthcare ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี จากการมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา รายงาน BLS Top Funds จึงแนะนำกระจายการลงทุนใน “กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์” (BCARE) ที่ลงทุนในธุรกิจสุขภาพทั่วโลกกองแรกของประเทศ เน้นบริษัทขนาดใหญ่ และมีรายได้กำไรที่มั่นคง โดยกองทุนดังกล่าวจัดตั้งมาแล้วกว่า 10 ปี สร้างผลตอบแทนสูงกว่า 15% ต่อปี ชี้ให้เห็นว่าการลงทุนระยะยาวสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี แม้ระหว่างทางอาจมีปัจจัยลบและ ความผันผวนบ้าง
นอกจากนั้นยังแนะนำ “กองทุนบีแคป เน็กซ์ เจน เฮลธ์” (BCAP-XHEALTH) ที่เน้นกระจายการลงทุน ผ่าน ETF ทั่วโลกใน 3 หมวดหลัก คือ 1.หมวดการรักษาด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ด้วยการใช้ Stem Cells 2.หมวด Service Efficiency การเพิ่มประสิทธิภาพของบริการด้านสุขภาพ และการใช้ Telehealth บริการสาธารณสุขระบบทางไกล เป็นต้น และ 3.หมวด MedTech Convergence การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ทันสมัยอย่าง Biosensors, Medical Robotic, Wireless Health เช่น นาฬิกาวัดชีพจร, วัดความดัน และวัดระดับออกซิเจน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีแนวโน้มเติบโตที่ดี
“เทรนด์การลงทุนหุ้นกลุ่ม Healthcare ถือว่าน่าสนใจมาก แนะนำให้หาโอกาสเข้าลงทุน ยกตัวอย่าง บริษัท Moderna เมื่อ 3-4 ปีก่อน ขาดทุนตลอด เพราะหมดเงินไปกับการลงทุนการวิจัย แต่เมื่อเกิดวิกฤต COVID-19 ทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ ใช้โมเลกุลไวรัสมาถอดรหัสพันธุรกรรม สร้างวัคซีนที่มีความล้ำสมัย ส่งผลให้เกิดการผลิตวัคซีนที่รวดเร็ว หนุนให้ครึ่งแรกปี 2564 บริษัทพลิกมีกำไร 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าทั้งปี 2564 อาจมีกำไรเกือบ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพราะคิดค้นวัคซีนสำเร็จและส่งขายไปทั่วโลก ขณะที่มูลค่าตามราคาตลาด ก็ขยับขึ้น จาก 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 1.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในระยะเวลา 1 ปี” นายเสริมศักดิ์ กล่าว