บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 ปี 2564 โดยมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 3.4 พันล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับทั้งไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 5.2 พันล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2564 และ 7.2 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2563 ตามลำดับ โดยผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมของ MINT โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปยุโรป ประกอบกับการฟื้นตัวของธุรกิจร้านอาหาร โดยMINT มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในแต่ละเดือนตลอดไตรมาส 2 ปี 2564 และกลับมามีผลกำไรสุทธิในเดือนมิถุนายนจากการกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมและแนวโน้มการดำเนินธุรกิจเชิงบวกของเครือโรงแรมในทวีปยุโรป ในขณะเดียวกัน MINT ประสบความสำเร็จในการเข้าทำธุรกรรมที่สำคัญหลายรายการเพื่อบริหารจัดการฐานะทางการเงินของบริษัท ทั้งในการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อชำระคืนหนี้เดิมและการหมุนเวียนสินทรัพย์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานะทางการเงินของบริษัทต่อไป ทั้งนี้ หากรวมรายการที่เกินขึ้นเพียงครั้งเดียว MINT รายงานผลขาดทุนสุทธิตามงบการเงินจำนวน 3.9 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2564 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจำนวน 8.4 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2563 และรายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 11.2 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิจำนวน 10.2 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563
ไมเนอร์ ฟู้ดรายงานผลกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 103 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2564 พลิกฟื้นจากไตรมาส 2 ปี2563 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 385 ล้านบาท แต่ชะลอตัวลงจากไตรมาส 1 ปี 2564 ซึ่งมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 160 ล้านบาท โดยกำไรที่ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมามีสาเหตุหลักมาจากกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการการควบคุมการระบาดระลอกที่ 3 ของโรค COVID-19 ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายน2564 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการระบาดของโรค COVID-19 อย่างต่อเนื่อง แต่ไมเนอร์ ฟู้ดยังคงสามารถสร้างผลกำไรได้เป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน จากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจร้านอาหารหลัก ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2564 ยอดขายต่อร้านเดิมของทั้งกลุ่มธุรกิจร้านอาหารกลับมาเป็นบวกอยู่ที่ร้อยละ 6.2 จากกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนและออสเตรเลียซึ่งมีการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่งด้วยการฟื้นตัวของกิจกรรมทางธุรกิจ รวมถึงฐานของผลการดำเนินงานที่ต่ำในไตรมาส 2 ปี 2563 จากการปิดประเทศทั่วโลก ในขณะที่ยอดขายต่อร้านเดิมของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยยังคงชะลอตัวจากการระบาดของโรค COVID-19 อย่างไรก็ตาม รายได้ของไมเนอร์ ฟู้ดเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 ในไตรมาส 2 ปี 2564 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2563 ด้วยจำนวนสาขาร้านอาหารที่กลับมาเเปิดให้บริการที่มากกว่าในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ทั้งนี้ จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นและมาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ ไมเนอร์ ฟู้ดมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นในไตรมาส 2 ปี 2564
ไมเนอร์ โฮเทลส์มีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยผลขาดทุนสุทธิที่ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 3.4 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2564 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 6.7 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2563 และดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากไตรมาส1 ปี 2564 ซึ่งมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 5.3 พันล้านบาท ทั้งนี้ ไมเนอร์ โฮเทลส์มีผลการดำเนินงานดีขึ้นในแต่ละเดือนในระหว่างไตรมาสและกลับมามีกำไรสุทธิที่เป็นบวกเป็นครั้งแรกในรอบ 18 เดือนในเดือนมิถุนายน 2564 โดยการฟื้นตัวโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นผลมาจากแนวโน้มการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นในทุกภูมิภาคและทุกธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรป ซึ่งเริ่มมีการผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ ในการเดินทางภายในทวีปตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2564 ส่งผลให้โรงแรมกลับมาเปิดให้บริการ และมีจำนวนผู้เข้าพักและอัตราค่าห้องพักที่สูงขึ้น นอกจากนี้ โรงแรมในประเทศออสเตรเลียยังคงมีการดำเนินงานที่ดี โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 74 ในไตรมาส 2 ปี 2564 และมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนที่สูงกว่าช่วงก่อนการระบาดของโรคCOVID-19 ในปี 2562 ถึงร้อยละ 13 ส่วนประเทศมัลดีฟส์ยังคงมีการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ด้วยรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนที่ต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ในปี 2562 เพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม จากความพยายามของทีมการขายห้องพักและมาตรฐานการบริการระดับสูงของโรงแรม นอกจากนี้ ยอดขายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และอนันตรา เวเคชั่น คลับยังคงแข็งแกร่ง โดยทั้ง 2 ธุรกิจดังกล่าวยังคงสร้างผลกำไรในไตรมาส 2 ปี 2564
สภาพคล่องยังคงเป็นสิ่งที่ MINT ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกท่ามกลางช่วงเวลาที่มีความผันผวนนี้ โดยกระแสเงินสดเฉลี่ยต่อเดือนกลับมาเป็นบวก อยู่ที่ประมาณ 900 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2564 ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของผลการดำเนินงาน และเงินสดที่ได้รับจากการหมุนเวียนสินทรัพย์ของโรงแรมเอ็นเอช คอลเลคชั่น บาร์เซโลนา แกรนด์โฮเทล กัลเดรอน ในเดือนมิถุนายน ทั้งนี้ ด้วยเงินสดในมือที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่จำนวน 2.7 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่จำนวน 3.1 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2564 ส่งผลให้ MINT มีสภาพคล่องเพียงที่พอสำหรับการดำเนินงานต่อไปในอนาคตท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม MINT เชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะดียิ่งขึ้นไปอีกจากการที่ MINT เริ่มเห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา MINT ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการฐานะทางการเงินด้วยการเพิ่มทุนการบริหารจัดการหนี้สิน และการหมุนเวียนสินทรัพย์อย่างรอบคอบ โดยในเดือนกรกฎาคม 2564 MINT ประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ในประเทศจำนวน 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งนำไปใช้เพื่อจ่ายคืนเงินกู้ยืมระยะสั้นบางส่วนและเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และได้ออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนที่สามารถเรียกคืนได้เมื่อครบกำหนด 5 ปี จำนวน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อจ่ายคืนหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนที่มีอยู่เดิม ส่วนเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปได้ออกหุ้นกู้จำนวน 400 ล้านยูโร เพื่อจ่ายคืนหุ้นกู้ที่มีอยู่เดิม อีกทั้งได้รับการขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้ส่วนใหญ่ไปเป็นปี 2569 และได้รับยกเว้นการทดสอบการดำรงอัตราส่วนทางการเงินไปจนถึงสิ้นปี 2565 นอกจากนี้ MINT ได้เข้าทำธุรกรรมการหมุนเวียนสินทรัพย์2 รายการ ซึ่งมีมูลค่าขายรวม 273.5 ล้านยูโร ซึ่งได้แก่การขายและเช่ากลับโรงแรมเอ็นเอช คอลเลคชั่น บาร์เซโลนาแกรนด์ โฮเทล กัลเดรอน ประเทศสเปน และการขายและทำสัญญารับจ้างบริหารโรงแรมทิโวลี มารีน่า วิลามัวรา และทิโวลี คาร์โวเอโร ประเทศโปรตุเกส โดยจะนำเงินสดที่ได้รับดังกล่าวไปใช้เพื่อจ่ายคืนหนี้และเพิ่มสภาพคล่องของบริษัท
เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 MINT เริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นในหลายภูมิภาค โดยทวีปยุโรป ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนรายได้มากที่สุดของไมเนอร์
โฮเทลส์ ได้เริ่มกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งเหตุผลหลักมาจากอัตราการกระจายวัคซีนที่สูง โดยโรงแรมในทวีปยุโรปมีความต้องการของจำนวนแขกเข้าพักที่เพิ่มขึ้น ด้วยแนวโน้มการจองห้องพักที่แข็งแกร่งสำหรับช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว นอกจากนี้ การดำเนินงานของโรงแรมในประเทศออสเตรเลียจะยังคงได้รับแรงผลักดันจากจำนวนนักท่องเที่ยวภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ในขณะที่มาตรการการเข้าประเทศต่างๆของประเทศมัลดีฟส์มีความผ่อนคลายกว่าภูมิภาคอื่นๆ ส่วนประเทศไทย แม้ว่าจังหวัดอื่นๆ กำลังเผชิญกับการระบาดของโรค COVID-19 ระลอกที่สาม แต่โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์และสมุย พลัส จะเป็นการปูทางไปสู่การกลับมาเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวอีกครั้ง สำหรับไมเนอร์ ฟู้ด การบริโภคที่แข็งแกร่งของประเทศจีนและออสเตรเลียจะเป็นแรงผลักดันผลการดำเนินงานต่อไป ในขณะที่ประเทศไทยจะยังคงมุ่งเน้นไปที่บริการจัดส่งอาหารท่ามกลางการระบาดของโรค COVID-19 ระลอกที่สาม ทั้งนี้ ในระยะยาว มาตรการการควบคุมค่าใช้จ่าย ซึ่งบริษัทได้นำมาใช้เพื่อรับมือกับการระบาดของโรค COVID-19 จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นต่อไปในอนาคต
นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า “ในระหว่างการเดินทางที่ยาวนานผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ MINT ได้ดำเนินการเชิงรุกหลายขั้นตอนเพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจของเราจะมีความมั่นคง โดยเราได้บรรลุเป้าหมายส่วนใหญ่ของการบริหารจัดการฐานะทางการเงินตามที่ได้ประกาศไว้ก่อนเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ด้วยฐานะทางการเงินและสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง บริษัทจะสามารถหันกลับมามุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวของธุรกิจได้อย่างเต็มที่ต่อไป โดยเรามีมุมมองเชิงบวกอย่างระมัดระวังต่อสภาวะทางธุรกิจในปัจจุบัน เนื่องจากเราตระหนักดีว่าตลาดทั่วโลกยังคงมีความผันผวน และเมื่อมองไปข้างหน้า ผมมีความรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะสามารถกลับมาขับเคลื่อนธุรกิจของเราให้ผ่านพ้นช่วงเวลาของการพลิกฟื้นนี้ ด้วยรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่มีความคล่องตัวและโฟกัสมากขึ้น เพื่อสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอนาคต”