‘โอสถสภา’ ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น
ยอดขาย 6,913 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 820 ล้านบาท ในไตรมาส 2
พร้อมเดินหน้าเป็นพลังฮึดสู้ให้คนไทยผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19
‘บมจ.โอสถสภา (OSP)’ โชว์ศักยภาพผลการดำเนินงานไตรมาส 2Q’64 ด้วยยอดขาย 6,913 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 820 ล้านบาท เติบโตจากยอดขายต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMVและเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มในประเทศ โดยผลงานครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 1,824 ล้านบาท ประกาศอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้นตอบแทนผู้ถือหุ้น พร้อมสานต่อภารกิจเป็นพลังฮึดสู้เคียงข้างคนไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 ผ่านการมอบความช่วยเหลือสนับสนุนด้านต่างๆ แก่บุคคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล กลุ่มอาสาสมัคร และชุมชนต่างๆ
นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อสินค้าของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รายได้จากการขายในไตรมาส 2 ที่ 6,913 ล้านบาท เพิ่มขึ้น17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาจากการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยกลุ่มประเทศ CLMV เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจหลัก ผลักดันอัตราการเติบโตในต่างประเทศโดยรวมที่ 76%นอกจากนี้ โอสถสภายังได้ผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตร ส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้แก่ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีน นอกจากนี้ ยังได้พัฒนารถเข็นแรงดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 พร้อมสนับสนุนผลิตภัณฑ์ให้แก่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามต่างๆ 161 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเป็นพลังให้คนไทยฮึดสู้ฝ่าฟันวิกฤตโควิด-19
สำหรับตลาดในประเทศนั้น OSP ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังด้วยส่วนแบ่งการตลาด 55% จากแบรนด์อันดับ 1 อย่างเอ็ม-150 แบรนด์ลิโพที่มีการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ สร้างปรากฎการณ์ครั้งแรกในรอบ 22 ปี เปิดตัว ‘ลิโพ-ไฟน์’ แจ้งเกิดเซกเมนท์ใหม่ให้กับ “เครื่องดื่มบำรุงกำลังสำหรับผู้หญิง” และเครื่องดื่มโสมอินซัมที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากส่วนผสมสมุนไพรซึ่งตอบสนองเทรนด์ของตลาดในขณะนี้ได้อย่างตรงจุด ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์นั้น ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยส่วนแบ่ง 37% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน หลังจากออกสินค้าใหม่เพื่อตอบรับความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งผลิตภัณฑ์กล่องใหญ่ขนาด 1 ลิตรสำหรับการบริโภคในครอบครัวได้เป็นประจำ และ ‘ซีวิท พลัส’ เครื่องดื่มวิตามินซีผสมคอลลาเจน นอกจากนี้ ยังรับรู้รายได้จากการกระจายสินค้าให้แก่เครื่องดื่มวิตามินของกลุ่มยันฮี ซึ่งเป็นอีกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเติบโตสูง
นอกจากนี้ การกลับมาเดินเครื่องจักรของโรงแก้วหลังจากปิดปรับปรุงในไตรมาสก่อน สัดส่วนช่องทางการขายที่ดีขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนภายใต้โครงการ Fit Fast Firm อย่างต่อเนื่องช่วยสนับสนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน ทำกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 1,824 ล้านบาท เติบโต 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
จากผลการดำเนินงานที่เติบโตตามเป้าหมาย ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม2564 มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้นเป็นจำนวนเงิน 1,352 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 25 สิงหาคม 2564 และจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 กันยายน 2564
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OSP กล่าวว่า “จากสถานการณ์ความท้าทายจากโควิด-19 โอสถสภามุ่งเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ช่วยดูแลสุขภาพ การสร้างพลังทางด้านการตลาดผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร และเริ่มวางรากฐานการนำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งและนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าใช้ Big Data มาช่วยปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพและทรานส์ฟอร์มองค์กรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตในอนาคต”
นอกจากนี้ โอสถสภายังได้ร่วมเป็นพลังสนับสนุนการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชน ชุมชนและเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ บริษัท เฮ้าส์ โอสถสภาฟู้ดส์ จำกัด บริษัท โอสถสภา ไทโช ฟาร์มาซูติคอลจำกัด และ บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด จัดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาทิ เครื่องดื่มวิตามินซีแบรนด์ซีวิท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ ลิโพ และเครื่องดื่มผสมสมุนไพร อาทิ โสมอินซัม สูตรผสมถั่งเช่าและเอ็ม-150 สูตรผสมกระชายดำ รวมกว่า 2 ล้านขวด มอบให้แก่ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีน ณ จุดบริการนอกโรงพยาบาล ในเครือข่ายสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ทั้ง 25 แห่งทั่วกรุงเทพมหานคร รวมถึงโรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนามต่างๆ 161 แห่งทั่วประเทศนอกจากนี้ โอสถสภายังได้ออกแบบและพัฒนาแคปซูลแรงดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ช่วยจำกัดการแพร่กระจายของเชื้อและลดโอกาสในการสัมผัสเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์เมื่อปี 2563 ล่าสุดทีมวิศวกรของโอสถสภาได้ออกแบบและพัฒนารถเข็นความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล เพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัยและคล่องตัวมากขึ้น โดยได้ส่งมอบแคปซูลความดันลบจำนวน 3 คัน และรถเข็นความดันลบจำนวน 18 คันมูลค่ารวมกว่า 4.8 ล้านบาทให้แก่โรงพยาบาล 16 แห่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดสระบุรี