ดร.ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปีบัญชี 2563/64 (สิ้นสุด 31 มี.ค. 64)บริษัทสามารถสร้างผลกำไรให้เติบโตได้ดีถึง1,221.2 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานภายใต้นโยบายลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือ นโยบาย “USE” (U: Utilization การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า S: Save การประหยัดค่าใช้จ่าย และ E: Efficiency การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน) และการรักษาสภาพคล่องและสถานะทางการเงิน รวมถึงบริหารจัดการกระแสเงินสด เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (Covid-19) ทั่วโลก
สำหรับปีบัญชี 2564/65 (สิ้นสุด 31 มี.ค. 65)บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโตได้ถึง 11,000 ล้านบาท สูงกว่ายอดขายก่อนเกิดการระบาดของโรคCovid-19 และปรับระดับอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นที่ 29 - 32% แผนธุรกิจในปีบัญชีนี้มุ่งเน้นการดำเนินงานใน 3 ด้าน ดังนี้
1) สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของบริษัทสร้างสรรค์สินค้าตอบรับกับวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) พร้อมกับบริหารจัดการกระบวนการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดภายใต้กลยุทธ์ “Capacities Driven”
2) ขยายตลาดในต่างประเทศให้สอดรับกับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด
3) ดำเนินตามนโยบาย “USE” ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างต่อเนื่อง
การดำเนินงานใน 3 กลุ่มธุรกิจ แบ่งเป็น
ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX ตั้งเป้าทำการตลาดสำหรับสินค้าพรีเมี่ยมเป็นหลักทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น สำหรับฐานการผลิตโรงงานแห่งใหม่ในสหรัฐอเมริกา จะนำเครื่องจักรระบบอัตโนมัติความเร็วสูงมาใช้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต คาดว่าจะเริ่มทดสอบการผลิตได้เดือน มิ.ย. 64 โดยจะเพิ่มกำลังการผลิตประมาณ 2 เท่าของกำลังการผลิตในสหรัฐอเมริกาเพื่อรองรับการความต้องการในอนาคต การลงทุนครั้งนี้สอดรับกับปัจจัยสนุบสนุนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ มุ่งหน้าสู่การฟื้นฟูประเทศ การอัดฉีดงบประมาณช่วยฟื้นฟูตลาดแรงงาน สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น รวมถึงภาคธุรกิจเริ่มกลับมาลงทุนมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างอีกด้วย
ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas ยังคงได้รับผลบวกจากอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สินค้ากลุ่มชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ ของ Aeroklas ปรับตัวดีขึ้นตามอุตสาหกรรมฯ Aeroklas ยังคงมุ่งมั่นทำงานร่วมกับลูกค้ากลุ่ม OEM ค่ายยานยนต์ของยุโรป เอเชียและสหรัฐอเมริกา เพื่อพัฒนาสินค้านวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงใช้ช่องทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของAeroklas ประกอบด้วยลูกค้ากลุ่ม OEM ODM และ After Market ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สำหรับธุรกิจในออสเตรเลีย มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการยานยนต์ประเภท Light Commercial Vehicle และ SUV ในออสเตรเลีย ปรับสูงขึ้นจากปีก่อน อีกทั้ง ธุรกิจ TJM มีแผนเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด ทั้งในออสเตรเลียและเอเชียแปซิฟิค ด้วยการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายแบบออนไลน์ สร้างความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดจำหน่าย และเสริมสร้าง Synergy ภายในกลุ่มธุรกิจ ซึ่งเห็นผลงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นปัจจัยสนับสนุนธุรกิจในออสเตรเลียให้เติบโตอย่างโดดเด่นในปีบัญชีนี้
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกภายใต้แบรนด์ EPP ยังคงให้ความสำคัญกับการนำกลยุทธ์ “Capacities Driven” มาบริหารจัดการกระบวนการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และยังคงทำตลาดในกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารประเภทกล่องใส่อาหารและถ้วยน้ำดื่มอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสนับสนุนจากหน่วยงานวิจัยและพัฒนา ทำให้ EPP สร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์นวัตกรรมได้หลากหลายชนิดสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคและการใช้ชีวิตตามวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ได้เป็นอย่างดี
ดร.ภวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปีบัญชี 2564/65 (สิ้นสุด 31 มี.ค. 65) รวม 540 ล้านบาท แบ่งเป็น Aeroflex 175 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบลงทุนต่อเนื่องเพื่อสร้างฐานการผลิตโรงงานแห่งใหม่ในสหรัฐอเมริกา Aeroklas 245 ล้านบาท และ EPP 120 ล้านบาท ทั้ง 2 บริษัทย่อยนี้ใช้เพื่อเพิ่มเครื่องจักรและใช้ปรับปรุงไลน์การผลิต ทั้งนี้ บริษัทได้จัดสรรงบประมาณสำหรับ M&A และ Joint Venture ที่ 300 ล้านบาท รองรับโอกาสการขยายตัวทางธุรกิจในอนาคต