ไทยออยล์เปิดตัวCEO พร้อมเผยแผนกลยุทธ์และภาพรวมผลประกอบการ


ไทยออยล์’ เผยงบลงทุนปี62-66 รวม4,834 ล้านเหรียญฯส่วนใหญ่ใช้ในโครงการCFP

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยออยล์จำกัด(มหาชนเผยถึงแผนการลงทุนของบริษัทฯและแผนการจัดหาเงินทุนในปี2562-2566 บริษัทฯมีแผนลงทุนเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น  4,834 ล้านเหรียญสหรัฐฯส่วนใหญ่ใช้ลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด(CFP) โดยบริษัทมีแผนการจัดหาเงินทุนโดยใช้เงินสดที่บริษัทมีอยู่และการจัดหาเงินผ่านการกู้ยืมออกหุ้นกู้เพิ่มเติมโดยพิจารณาตามสภาวะตลาดตราสารหนี้ที่เหมาะสมแผนกลยุทธ์ของไทยออยล์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้โดยกำหนดวิสัยทัศน์สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน” ดังนี้  1.Strengthen the core (ธุรกิจการกลั่นน้ำมันและธุรกิจไฟฟ้า)การเพิ่มกำลังการผลิตและอัพเกรดผลิตภัณฑ์โดยโครงการCFP มีรายได้ที่มั่นคงจากธุรกิจไฟฟ้าและการบริหารสินทรัพย์และการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ 2.Value Chain Enhancement (ธุรกิจเคมีดำเนินการขยายห่วงโซ่การผลิตผ่านความร่วมมือและการร่วมลงทุนโครงการCFP ไม่ใช่ปลายทางแต่บริษัทฯยังมีแนวคิดที่จะขยายธุรกิจต่อไปหลังจากโครงการCFP แล้วเสร็จอะโรเมติกส์ ,โอเลฟินส์,ผลิตพิเศษมูลค่าสูง(High Value Specialty Product) 3.Seed the Options (ธุรกิจนวัตกรรมดำเนินการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ผ่านทางวิจัยและพัฒนา(Research and Development) การร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพ(Corporate Venture Capital & Start-ups) ในธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านการผลิต(Manufacturing Technology) ,เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิต(Green & Human Technology) ,เทคโนโลยีเปลี่ยนธุรกิจปิโตรเลียม(Hydrocarbon Disruption Technology, โดยบริษัทตั้งเป้าสัดส่วนกำไรตามธุรกิจหลักของบริษัทเป็นธุรกิจปิโตรเลียม40%, ปิโตรเคมี40%,ไฟฟ้า15% และอื่นๆ5% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนของธุรกิจการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม60%, ธุรกิจอะโรเมติกส์และธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน23%, ธุรกิจไฟฟ้า12% และอื่นๆ5%

สำหรับแผนการลงทุนในอนาคตของบริษัทฯและแผนการจัดหาเงินทุน ในปี2562-2566 บริษัทฯมีแผนลงทุนเป็นจำนวนเงินทั้งหมดประมาณ4,834 ล้านเหรียญสหรัฐฯประกอบด้วยโครงการปรับปรุงหน่วยผลิตต่างๆให้มีประสิทธิภาพโครงการลงทุนด้านโลจิสติกส์และสาธารณูปโภค299 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มทุนGPSC 574 ล้านเหรียญสหรัฐฯและโครงการพลังงานสะอาด(CFP) 3,961 ล้านเหรียญสหรัฐฯโดยบริษัทฯมีแผนการจัดหาเงินทุนโดยใช้เงินสดที่บริษัทมีอยู่ประกอบกับเงินสดจากการดำเนินงานในอนาคตและการจัดหาเงินผ่านการกู้ยืมและ/หรือออกหุ้นกู้เพิ่มเติมโดยพิจารณาตามสภาวะตลาดตราสารหนี้ที่เหมาะสมขณะที่กลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมาบริษัทฯประสบความสำเร็จในการออกและเสนอขายหุ้นกู้สกุลเหรียญสหรัฐอเมริกาไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิจำนวนรวม565 ล้านเหรียญสหรัฐฯโดยหุ้นดังกล่าวได้รับการจัดลำดับความน่าเชื่อถือจากStandard and Poor’s และMoody’s ที่ระดับBBB+ และBaa1 ตามลำดับโดยมีอายุ30 ปีอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ3.50 ต่อปีอีกทั้งเป็นหุ้นกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดของบริษัทที่มีอันดับความนาเชื่อถือในระดับBBB (Investment Grade) จากภูมิภาคเอเชียในรอบปีที่ผ่านมาภาพรวมผลประกอบการครึ่งปีแรก2562 และภาพรวมปี2563

ภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชีบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชนกล่าวว่า ในช่วงเดือนแรกของปี2562 สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวประกอบกับราคาน้ำมันเบนซิน(ULG) ที่ปรับตัวลดลงส่งผลกดดันค่าการกลั่นในภูมิภาคและช่วงไตรมาสที่และบริษัทฯ หยุดบำรุงใหญ่หอกลั่นที่3 (CDU3) และหน่วยกลั่นที่เกี่ยวข้องส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการกลั่นปรับตัวลงทั้งนี้การซ่อมบำรุงได้เสร็จสิ้นและช่วงกลางไตรมาสที่และอัตราการใช้กำลังการกลั่นกลับมาอยู่ในระดับปกติ ขณะที่ปลายไตรมาสที่และของปี2562 และตลอดปี2563 บริษัทฯคาดว่าค่าการกลั่นจะปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคที่ยังขยายตัวต่อเนื่องรวมทั้งเข้าสู่ฤดูหนาวและฤดูกาลท่องเที่ยวประกอบกับการบังคับใช้กฎระเบียบควบคุมการปล่อยกำมะถันของเรือเดินทะเล(IMO) ส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปโดยเฉพาะดีเซลและค่าการกลั่นในภาพรวมปรับสูงขึ้น

สำหรับสถานการณ์ไตรมาสที่4/2562 นายฉัตรฐาพงศ์ วังธนากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการพาณิชย์องค์กร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชนกล่าวว่าตลาดน้ำมันดิบราคามีแนวโน้มอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ปี2562 จากสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาประกอบกับกำลังการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นจากการเปิดดำเนินการของท่อขนส่งน้ำมันGray Oak (900KBD) ในสหรัฐฯช่วงปลายปีรวมทั้งกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรปรับลดกำลังการผลิตลงเพื่อรักษาสมดุลของอุปทานน้ำมันดิบในตลาดโลก ขณะที่ตลาดอะโรมาติกส์ทางด้านตลาดสารพาราไซลีนคาดว่าตลาดยังคงอ่อนตัวเนื่องจากอุปทานขึ้นใหม่ในจีนไตรมาสที่ที่มีกำลังการผลิต4.6 ล้านตันต่อปีและไตรมาสที่ที่จีนและบรูไนมีกำลังการผลิต0.6 ล้านตันต่อปีส่งผลให้อุปทานล้นตลาดอย่างต่อเนื่องส่วนตลาดสารเบนซินคาดว่าตลาดจะทรงตัวในระดับต่ำเนื่องจากอุปทานใหม่ในเอเชียและตะวันออกกลางทั้งในไตรมาสที่และอุปทานที่จะเปิดใหม่ในไตรมาสที่หากนำไตรมาสที่เทียบกับไตรมาสที่พบว่าจะมีอุปทานเพิ่มขึ้น0.2 ล้านตันและอุปสงค์หดตัว0.1 ล้านตันตลาดน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานคาดว่าจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้โดยได้รับปัจจัยกดดันจากอุปสงค์น้ำมันหล่อลื่นที่ปรับตัวลดลงหลังเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวประกอบกับอุปทานปรับเพิ่มอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะจากจีนและสิงคโปร์ขณะที่การปิดซ่อมบำรุงของโรงงานผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานในครึ่งปีหลังมีจำนวนต่ำกว่าในครึ่งปีแรก สำหรับสถานการณ์ตลาดในปี2563 ตลาดน้ำมันดิบราคาน้ำมันดิบทรงตัวเมื่อเทียบกับปี2562 โดยคาดว่าอุปสงค์น้ำมันในปี2563 เติบโต1.0-1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันขณะที่อุปทานเติบโตเพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯและยุโรป1.3 และ0.4 ล้านบาร์เรลต่อวันตามลำดับทั้งนี้กลุ่มโอเปกจะยังคงปรับลดกำลังการผลิตเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา สำหรับตลาดอะโรมาติกส์ทางด้านตลาดสารพาราไซลีนคาดว่าตลาดอ่อนตัวต่อเนื่องจากอุปทานล้นตลาดในปี2562 และอุปทานใหม่ปี2563 โดยเฉพาะประเทศจีนส่วนกำลังการผลิตใหม่ในเอเชียและตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น7.9 ล้านตันต่อปีทำให้อัตราการผลิตปรับลดลงจาก80.4% เป็น73.7% ส่วนตลาดสารเบนซีนคาดว่าตลาดจะทรงตัวในระดับต่ำเนื่องจากอุปทานใหม่ในเอเชียและตะวันออกกลางโดยในปี2563 จะมีอุปทานเพิ่มขึ้น3.2 ล้านตันต่อปีส่งผลให้อัตราการผลิตปรับลดลงจาก75.2% เป็น73.7% ขณะที่ตลาดน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานคาดว่าจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปี2562 จากอุปทานที่เติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับอุปสงค์ที่เติบโตค่อนข้างน้อย