ซีไอเอส มองตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงจากปรากฏการณ์ Sell In May และความกังวลต่อมาตราการผ่อนคลายทางการเงินจะถูกทบทวน หลังจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ เริ่มปรับตัวสูงขึ้น เป็นเพียงปัจจัยลบระยะสั้น คาดว่าเม็ดเงินลงทุนน่าจะไหลกลับมาลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของจีน ที่ก่อนหน้านั้นปรับตัวลดลงต่ำกว่าหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ส่วนตลาดคริปโทยังคงผันผวน ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ยังรอความหวังจากวัคซีนโควิด-19 ว่าจะถูกกระจายได้มากขึ้น
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยถึงปรากฏการณ์นักลงทุนเทขายหุ้นทำกำไรในช่วงเดือนพฤษภาคม หรือ ปรากฏการณ์ Sell In May ว่า จากผลศึกษาข้อมูลดัชนีสําคัญทั่วโลก 12 ปีย้อนหลัง นับตั้งแต่ปี 2009 ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญแรงขายในเดือนพฤษภาคม และมีแนวโน้มราคาลดลง โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่เป็นลบเฉลี่ยอยู่ที่ 0.23% และปรับตัวลงนานกว่า 8 ปี ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ให้ผลตอบแทนติดลบเฉลี่ย 0.21%
ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ Sell In May มีโอกาสเกิดกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก โดยตลาดหุ้นไทยมีโอกาสความน่าจะเป็นสูงถึง 60% ประเทศอื่น 50% และตลาดหุ้นสหรัฐฯ 33% ฯลฯ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Sell In May ในตลาดหุ้นไทย คือ โดยปกติช่วงไตรมาสสองและสามของไทย จะเป็นช่วง Low Season ทางเศรษฐกิจ ประกอบกับค่าเงินบาทมักจะอ่อนค่าเสมอในเดือนพฤษภาคม เพราะเป็นฤดูการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย และมีการนำเงินออกไปยังต่างประเทศ
“ปีนี้ ประเทศไทยยังมีการล็อกดาวน์ขึ้นในไตรมาสสอง อาจทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปรับลดลง กดดันต่อแรงซื้อหุ้น โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้สาเหตุที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ซึ่งกระทบไปยังตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทย คือความกังวลในเรื่องของเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นต่อเนื่องโดยดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ เดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 4.2% เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ทำให้เกิดความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (FED) อาจจะพิจารณากลับมาใช้มาตราการผ่อนปรนทางการเงิน อย่างเช่น การทำคิวอี (QE) รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่เร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้”
การที่แนวโน้มเงินเฟ้อเริ่มกลับมาจะส่งผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Bond Yield จะปรับตัวขึ้น ทำให้เกิดการไหลกลับของกระแสเงินลงทุนไปยังตลาดพันธบัตรรัฐบาล และจะเกิดการเทขายหุ้นออกมา ขณะที่ P/E ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เข้าเขตที่เรียกได้ว่าแพง ประกอบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่เกิดการปรับฐานหนัก ๆ มานานแล้ว จึงเป็นไปได้ว่าช่วงระยะสั้นอาจจะมีการปรับตัวลง โดยเฉพาะดัชนี NASDAQ ที่ผลงานอ่อนกว่าดัชนี S&P500
อย่างไรก็ตาม หากมองระยะยาวเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังฟื้นตัว และหุ้น ยังคงเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่น่าสนใจ ซึ่งในระยะสั้น หากเกิด Sell In May ขึ้น ถือเป็นโอกาสในการเพิ่มพอร์ตลงทุนในหุ้น โดยตลาดหุ้นที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นจีน ที่มีระดับ P/E เพียงแค่ 14 เท่า นับว่ายังไม่แพงมาก และเป็นระดับที่สมเหตุสมผล เพราะคาดว่าเศรษฐกิจจีนในปีนี้ น่าจะโตได้ถึง 6-8% และภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ยังจะโตได้เฉลี่ยปีละ 5% ส่วนประเด็นที่รัฐบาลจีนเข้ามาควบคุมบริษัทเทคโนโลยีของจีน รวมถึงการที่สหรัฐฯ ถอดบริษัทจีนออกจากตลาดหุ้นเป็นเพียงแค่ปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น
“มองว่าการปรับฐานลงของตลาดหุ้นจากปัจจัย Sell In May และความกังวลเรื่องของเงินเฟ้อ น่าจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่เม็ดเงินน่าจะไหลออกจากหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ มายังหุ้นเทคโนโลยีของจีน แต่ในระยะยาวหุ้นเทคโนโลยี กลุ่ม Ark Invest ยังคงมีความน่าสนใจ เพียงแต่ระยะสั้นเม็ดเงินแค่เปลี่ยนทางชั่วคราว ส่วนหุ้นไทยการปรับตัวลงมา ยังถือว่าไม่หนักมาก แสดงว่าตลาดหุ้นให้น้ำหนักกับการกระจายวัคซีนโควิด-19 ในช่วงครึ่งปีหลัง และเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากการคลายล็อกดาวน์”
อย่างไรก็ดี มีประเด็นที่ต้องจับตาหลังจากนี้ คือ สหรัฐฯ จะมีท่าทีอย่างไรต่อมาตราการผ่อนคลายทางการเงินจากเศรษฐกิจที่กลับมาฟื้นตัวเร็ว และการกระจายวัคซีนในสหรัฐฯ เดินหน้าได้รวดเร็ว ประกอบกับ
เจเน็ต เยเลน รัฐมนตรีคลัง ผู้ที่ตัดสินใจลดวงเงินมาตรการคิวอี และเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ หลังวิกฤตซับไพร์มในปี 2009 สมัยที่เป็นผู้ว่าการเฟดในยุคนั้น เริ่มมีความคิดเห็นว่าจะต้องมีการปรับนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายให้กลับมาในสภาพเดิม ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดในช่วงที่เหลือหลังจากนี้
ส่วนตลาดคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ยังคงผันผวน โดยเฉพาะในประเด็นที่ อีลอน มัสก์ ซีอีโอ Tesla ออกมาทวีตว่า Tesla จะระงับการจ่าย Bitcoin ในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า โดยให้เหตุผลการใช้พลังงานของ Bitcoin สูงมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดแรงเทขายในเหรียญ Bitcoin ทันที ดังนั้นนักลงทุนต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับพอร์ตได้ทันท่วงที
นายณพวีร์ กล่าวปิดท้ายในส่วนของตลาดหุ้นไทยว่า ในเดือนพฤษภาคม ที่ตลาดหุ้นปรับฐานลงมา ถือเป็นโอกาสให้นักลงทุนเลือกหุ้นที่มีผลประกอบการที่ดี ทยอยสะสมรอตลาดหุ้นกลับตัวมาเป็นบวกอีกครั้ง เพราะในระยะกลาง-ยาว ยังเชื่อมั่นว่า ภาครัฐน่าจะพยายามผลักดันเรื่องวัคซีนโควิด-19 ให้ถูกกระจายได้มากขึ้น และครึ่งปีหลัง คาดว่าสถานการณ์การส่งออกของไทย น่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และมองว่าตลาดหุ้นไทย มีโอกาสจะปรับตัวเชิงบวกล่วงหน้าได้