นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 1/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,047 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2563 ร้อยละ 18.1 และ EBITDA รวมอยู่ที่ 948 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 15.0 เนื่องจากมีการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากโครงการใหม่ ได้แก่
1) โรงไฟฟ้าพลังน้ำ “Nam San 3B” ใน สปป.ลาว ที่เข้าซื้อในเดือน กุมภาพันธ์ 2563
2) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยกำลังการผลิตรวม 20 เมกกะวัตต์ จำนวน 4 โครงการ ที่ เข้าซื้อในเดือน สิงหาคม 2563
รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยและญี่ปุ่น และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ“Nam San 3A” สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มมากขึ้นจากค่าความเข้มแสง และจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น ที่ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว ตามลำดับ ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 51,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 0.6 จากสิ้นปี 2563 จากการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนในบริษัทร่วม และทรัพย์สินไม่มีตัวตน เนื่องจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม และทรัพย์สินไม่มีตัวตน ซึ่งบางส่วนอิงสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากการแข็งค่าของเงินสกุลต่างประเทศเทียบกับสกุลเงินบาท ในระหว่างไตรมาสที่ 1/2564
“ผลงานไตรมาสแรกถือเป็นการเริ่มต้นปีที่ดีสำหรับบีซีพีจี สำหรับในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ยังคงขยายธุรกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่องด้วยการร่วมลงทุน กับบริษัทสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ ในการพัฒนาดิจิทัลโซลูชั่น (Digital Solution) ใหม่ๆเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่มากขึ้น และสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ ให้ไปสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำในการให้บริการโซลูชั่นด้านพลังงานอัจฉริยะได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ในส่วนของการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน บริษัทฯ ได้มีการต่อยอดเทคโนโลยีใหม่ๆ และขยายฐานการลงทุนไปยังประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง สร้างเสียรภาพของรายได้ และความสมดุลของประเภทโรงไฟฟ้า ล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรจาก “ทริส เรทติ้ง” ที่ระดับ A- ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ คงที่ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงรายได้ที่แน่นอนจากสินทรัพย์โรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทฯ และสัดส่วนการลงทุนที่มีการกระจายตัวของแหล่งพลังงานที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังรวมถึงการสร้างรายได้จากโครงการใหม่เพื่อชดเชยรายได้จาก Adder ที่ทยอยลดลง และยังมีโครงการในมือที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นจำนวนมาก ซึ่งการได้รับเครดิตดังกล่าวจะส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้แหล่งใหม่ ที่จะเข้ามาช่วยเสริมความพร้อมการลงทุนในอนาคต” นายบัณฑิตกล่าวทิ้งท้าย