NER พบนักลงทุนในงาน Opportunity Day

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ (กลางประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  พร้อมด้วยนายศักดิ์ชัย จงสถาพงษ์พันธ์ (ซ้ายรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบัญชีและการเงินบริษัท และนางสาวเกศนรี จองโชติศิริกุล (ขวารองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาด บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชนหรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ  ร่วมนำเสนอข้อมูลในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน Opportunity Day โดยผลประกอบการปี 2563 บริษัทฯ มียอดขายสินค้ารวม 16,349.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,344.28 ล้านบาท หรือ25.71% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่มีรายได้รายได้จากการขายสินค้ารวม 13,005.50 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวม  858.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 319.80 ล้านบาท หรือ 59.35% เมื่อเทียบเดียวกันของปี 2562 ที่บริษัทมีกำไรจากการยอดขายที่ 538.88 ล้านบาท ผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 โรงงานยางแห่งที่ 2 ได้เริ่มดำเนินการผลิตยางแท่งและยางผสม ประกอบกับคำสั่งซื้อยางผสมคอมปาวด์ ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ที่มียอดจากเพิ่มขึ้นจากปี  2562 ที่ 1,646 ล้านบาท จากคำสั่งซื้อจากลูกค้าประเทศจีนและสิงคโปร์อีกด้วย


นอกจากนี้ในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่1/2564 มีมติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.21บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 339.08 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 96.88 ล้านบาทเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 คงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายในครั้งนี้อีกในอัตราหุ้นละ 0.15บาท คิดเป็นเงิน242.20 ล้านบาท การจ่ายเงินปันผลปี 2563 คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 40.89% ของกำไรสุทธิหลังจากหักเงินทุนสำรองตามกฎหมาย กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่23 เมษายน2564และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 


และมีมติให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทอีกจำนวน 80,733,945บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 924 ล้านบาท เป็นจำนวน 1,004,733,945 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 161,467,890 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.50บาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) โดยจะเสนอขายในคราวเดียวกันหรือทยอยขายก็ได้ พร้อมทั้งเสนอผู้ถือหุ้นอนุมัติเพิ่มวงเงินการออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มอีกจำนวน 2,000 ล้านบาท เป็นวงเงินรวมไม่เกิน 4,000 ล้านบาท