– บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) โชว์ฟอร์มแกร่ง อวดผลงานปี63 กำไรสุทธิ 157.33 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวม1,037.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.45% จากกลยุทธ์เดินเกมการตลาดทั้งธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า-ธุรกิจเทรดดิ้ง รวมถึงปรับกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนตามแผนที่วางไว้ ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจโตตามคาด และบอร์ดได้อนุมัติจ่ายปันผลงวดครึ่งปีหลัง 0.25 บาท/หุ้น ด้าน CEO “พูลพิพัฒน์ ตันธนสิน” เดินหน้าอัดธุรกิจเชิงรุกปี64 เร่งต่อยอดการลงทุน หวังดันรายได้รวมปีนี้แตะ 1,200 ล้านบาท พร้อมส่งซิกย้ายเข้า SET ภายในปีนี้
นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ผู้ผลิตจัดจำหน่าย และให้บริการหม้อแปลงไฟฟ้า เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด ปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 บริษัทฯมีรายได้รวม 1,037.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.57 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 983.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.45% และมีกำไรสุทธิ จำนวน 157.53 ล้านบาท
ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรสุทธิ และรายได้รวมเพิ่มขึ้น เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการวางกลยุทธ์การตลาดในธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า และ ธุรกิจเทรดดิ้ง ในการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความต้องการซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้นโดยเห็นได้จากยอดขายผลิตภัณฑ์โดยรวมปรับตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปรับกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนในการควบคุมการผลิต ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังรับรู้รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าของ บริษัท คิวโซลาร์ 1 จำกัด ขนาด 8.6 MW ที่ปราจีนบุรีเข้ามาด้วยเช่นเดียวกัน
“บริษัทฯประสบความสำเร็จในส่วนของธุรกิจเทรดดิ้ง จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายแผงโซลาร์เซลล์ ให้กับ LONGI Solar การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Huawei Solar Inverter ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์การเปลี่ยนไฟฟ้ากระแสตรง(DC) ให้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ(AC) เพื่อใช้กับแผงโซลาร์เซลล์ รวมไปถึงการจำหน่าย DE BUSDUCT ทำให้ปี 2563 ทั้งปีมีรายได้จากธุรกิจเทรดดิ้งรวม 86.30 ล้านบาท และธุรกิจพลังงาน ในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของ Q Solar 1 ซึ่งตั้งที่ จ.ปราจีนบุรี ขนาด 8.6 เมกะวัตต์ 146.87ล้านบาท”
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเสนอผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายปันผลงวดปี 2563 (ม.ค.-ธ.ค.) ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งหมดประมาณ 136,437,022.80 บาท ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินปันผลไปแล้วงวดระหว่างกาล 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2563 คงเหลือเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลัง 2563 อีกในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 5 เดือน พฤษภาคม 2564 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 30 เดือน เมษายน 2564 เพื่อดำเนินการจ่ายปันผลในวันที่ 19 เดือน พฤษภาคม 2564
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ยังมีมติให้ดำเนินการย้ายหลักทรัพย์ QTC จากตลาดหลักทรัพย์ mai ไปเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เพื่อเป็นการยกระดับบริษัทและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งยังเป็นการลดข้อจำกัดในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนสถาบันที่สนใจเข้ามาถือหุ้นของ QTC โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการย้ายเข้า SET ได้ภายในปีนี้
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) กล่าวเพิ่มอีกว่า สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปี 2564 นี้ แม้สถานการณ์ภาพรวมของเศรษฐกิจในประเทศยังคงชะลอตัว ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่อง จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 แต่ในฐานะบริษัทผู้ประกอบการเอกชน ก็ยังต้องปรับกลยุทธ์ภายในองค์กรเพื่อตั้งรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ในเรื่องการต่อยอดขยายการลงทุนนั้น ทางบริษัทฯ ก็ยังดำเนินการต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจด้านพลังงานเพื่อสามารถต่อยอดธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งแผนการลงทุน บริษัทฯ จะคำนึงถึงผลตอบแทน ROE จะต้องไม่ต่ำกว่า10% ถึงจะคุ้มค่ากับการลงทุน
พร้อมกันนี้ บริษัทฯวางแผนเชิงรุกในการเจาะตลาดธุรกิจเทรดดิ้ง ภายใต้การเป็นตัวแทนจำหน่ายโซลาร์เซลล์ ให้กับ LONGI Solar การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Huawei Solar Inverter รวมไปถึงการจำหน่าย DE BUSDUCT ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และบริษัทกำลังอยู่ในระหว่างศึกษาโครงการลงทุนอื่นๆ อีก คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับอัตราการเติบโตของ QTC ในปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้ารายได้รวมที่ระดับ1,200 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า 900 ล้านบาท และธุรกิจเทรดดิ้ง 300 ล้านบาท โดยล่าสุดบริษัทฯมียอดขายต่อเนื่องจากปีก่อนจนถึงปัจจุบันกว่า 320 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายหม้อแปลงไฟฟ้าต่างประเทศ จำนวน 200 ล้านบาท ยอดขายหม้อแปลงไฟฟ้าในประเทศ จำนวน 90 ล้านบาท และจากเทรดดิ้ง โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายแผงโซลาร์เซลล์ ให้กับ LONGI Solar จำนวน 30 ล้านบาท อีกทั้งยังมีแผนการเข้าประมูลงานการไฟฟ้าภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) มูลค่ารวมประมาณ 1,500 ล้านบาท และคาดว่าจะได้งานไม่น้อยกว่า 10% ของมูลค่างาน ซึ่งคาดว่าจะทยอยประกาศผลออกมาในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้