นายดนัย อรุณกิตติชัย ผู้บริหารที่ปรึกษาการลงทุน และผลิตภัณฑ์ทางการเงิน (Wealth Advisory by CIMB THAI) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ตลาดตราสารหนี้คึกคักนับตั้งแต่เปิดปีใหม่ มีบริษัทหลายแห่งออกระดมเงินทุนและตุนสภาพคล่องจำนวนมาก นับเป็นทางเลือกให้นักลงทุน และผู้ออมเงินที่ต้องการขยับจากเงินฝากดอกเบี้ยต่ำ เพราะภาพรวมตราสารหนี้ในปี 2564 ยังคงมีความน่าสนใจ
“Wealth Advisory by CIMB THAI มองว่า กลยุทธ์การลงทุนตราสารหนี้ระยะนี้ อาจเลือกตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) รวมถึงเลือกอุตสาหกรรมที่มีสภาพคล่องดีและมีความแข็งแกร่ง โดยได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างจำกัดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อีกทั้ง ยังต้องเลือกอายุของตราสารหนี้ให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ทั้งอายุสั้นและอายุยาว แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ” นายดนัย กล่าว
ทั้งนี้เศรษฐกิจทั่วโลกยังคงได้รับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ภาครัฐต้องใช้นโยบายการเงินและการคลังเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจ โดยมาตรการกล่าวดังกล่าวได้ทำให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำซึ่งสร้างผลกระทบอย่างมากต่อกลุ่มตราสารหนี้ ส่งผลให้นโยบายการเงินยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 2023 เป็นอย่างน้อย เพื่อฟื้นฟูผลกระทบของโรคโควิด-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจ
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงส่งผลกดดันเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาครัฐได้มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งนโยบายการเงิน รวมถึงนโยบายการคลังเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวกลับมา ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 150 bps สู่ระดับ 0.25% ในช่วงปีที่ผ่านมา ในขณะที่นโยบายการคลังอาจมีบทบาทค่อนข้างโดดเด่นในปีนี้ เนื่องจากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ใกล้เคียงระดับ 0% ในหลายประเทศ ส่งผลให้การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายการเงินมีความเป็นไปได้ค่อนข้างยาก
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่านโยบายการเงินยังคงจะถูกใช้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าแนวโน้มความกังวลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 จะเบาบางลง โดย ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับนี้ไปจนถึงปี 2023 เป็นอย่างน้อย ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อก็จะยังคงตัวอยู่ในระดับต่ำไปอีกสักระยะจากการที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่
นอกจากนี้ความคืบหน้าของวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ก็ยังเป็นหนึ่งปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ซึ่งหนุนให้ความกังวลของนักลงทุนปรับตัวลดลงมา ส่งผลให้ทิศทางของส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของตราสารหนี้ในระดับ Investment Grade และผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield) กับพันธบัตรรัฐบาลมีแนวโน้มที่แคบลงอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่ระดับที่ใกล้เคียงภาวะก่อนการแพร่ระบาด ในทางกลับกัน แม้ว่าส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของตราสารหนี้ในระดับ Investment Grade และผลตอบแทนของตราสารหนี้ High Yield กับพันธบัตรรัฐบาลจะลดลง แต่นักลงทุนยังคงสามารถเลือกลงทุนแบบ Yield Spread Pickup ได้ อีกทั้งหลังจากเผชิญกับอุปสรรคครั้งใหญ่อย่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้หลายบริษัทมีความต้องการจะเพิ่มสภาพคล่องของตนเองและส่งผลให้นักลงทุนมีทางเลือกที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงรวมของตราสารหนี้มีแนวโน้มที่ลดลงหลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว