ThaiBMA มองแนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทย ปี 2564 เอกชนออกหุ้นกู้เสริมสภาพคล่อง คาดดอกเบี้ยนโยบายไม่เกิน 0.5%
นายธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหน้ีไทย คาดว่าบริษัทเอกชนยังคงมีความต้องการระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้ระยะยาวเพื่อเสริมสภาพคล่องรองรับสถานการณ์ที่ ไม่แน่นอน และเชื่อว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายท่ีร้อยละ 0.5 ไปตลอดท้ังปีนี้เพื่อประคองเศรษฐกิจท่ีต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นและระยะกลางมีกรอบที่จำกัดในการปรับตัวขึ้นเนื่องจากสภาพคล่องในระบบ ยังอยู่ในระดับสูง ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวจะทยอยขยับข้ึนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ความเสี่ยงที่อาจเกิดการผิดนัดชำระหนี้ (Default) ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่นั้นนายธาดา กล่าวว่า ในปี 2563 มีบริษัทเอกชนขอการเลื่อนชำระหนี้รวมทั้งสิ้น 12 ราย โดยจะทยอยครบกำหนดชำระอีกครั้งในปี 2564 และ 2565 ซึ่งในบางส่วนธุรกิจที่เริ่มฟื้นตัวได้มีการเตรียมการเพื่อที่จะไถ่ถอนคืนก่อนครบกำหนดขณะที่ผู้ออกบางกลุ่มใช้ช่วงจังหวะตลาดฟื้นออกหุ้นกู้ในปลายปีที่แล้วเพื่อเตรียมชำระคืนที่จะครบกำหนดในปีนี้
สำหรับวิกฤตการระบาดระลอกใหม่ เชื่อว่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากเท่าการระบาดครั้งแรก เนื่องจากภาครัฐประกาศล็อกดาวน์จำกัดพื้นที่ แต่ยังถือเป็นประเด็นเสี่ยงที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นธุรกิจที่ยังมีความเปราะบางสูง แต่เชื่อว่าสำหรับธุรกิจที่ยังมีปัญหาจะขอผู้ถือหุ้นกู้เพื่อยืดชำระหนี้ต่อไป แทนที่จะปล่อยให้ Default ขณะที่ ภาพรวมปี 2563 ที่ผ่านมา แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะเผชิญแรงกดดันและความกังวลต่างๆ ตลอดทั้งปี 2563 แต่พบว่ามูลค่าคงค้างตราสารหนี้ไทยยังคงเพิ่มขึ้น 4.5% จาก 13.52 ล้านล้านบาทในปี 2562 เป็น 14.13 ล้านล้านบาทณ สิ้นปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าเกิดจากการเพิ่มขึ้นของพันธบัตรรัฐบาล ในขณะที่ตราสารหนี้ประเภทอื่นมีมูลค่าคงค้างลดลง ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาดรองลดลง 5.3% จาก 8.8 หมื่นล้านบาทต่อวันในปี 2562 เป็น 8.3 หมื่นล้านบาทต่อวันในปี 2563
การออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวในปี 2563 พบว่า มีมูลค่ารวม 683,559 ล้านบาท ลดลง 36% จากปีก่อนหน้าที่มียอดการออกสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.08 ล้านล้านบาท โดยประเมินว่าเกิดจากเงินฝากในระบบสถาบันการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้กลุ่มสถาบันการเงินลดการออกตราสารหนี้ ขณะเดียวกันผู้ออกในกลุ่มธุรกิจจริง (Real Sector) ก็หันไปใช้สินเชื่อจากสถาบันการเงินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการเสนอขายตราสารหนี้ต่อประชาชนทั่วไป (PO: Public Offering) เพิ่มขึ้น 28% ของยอดการออกรวมจาก 18% ในปีก่อนหน้า ซึ่งหุ้นกู้ที่เสนอขายเพิ่มขึ้นนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอันดับเครดิตดีตั้งแต่ A- ขึ้นไป
นายธาดา กล่าวเพิ่มเติม จากกระแสความตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคมและความยั่งยืน ส่งผลให้ปี 2563 มีบริษัททั้งภาครัฐและเอกชนออก ESG Bond (ESG: Environmental, Social and Corporate Governance) มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น86,400 ล้านบาท สูงกว่ามูลค่าการออกในปีที่แล้วที่ 30,040 ล้านบาทเกือบ 3 เท่า จากหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่กระทรวงการคลัง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และการเคหะแห่งชาติ เริ่มหันมาระดมทุนด้วยตราสารประเภทนี้
ทั้งนี้ ESG Bond มียอดการระดมทุนรวม 62,800 ล้านบาท สำหรับผู้ออกภาคเอกชน ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และ บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) มียอดการระดมทุนรวมทั้งสิ้น 23,600 ล้านบาท
นายธาดา กล่าวเพิ่มเติม เรื่องกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 มียอดเงินไหลออกสุทธิ 110,849 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังมียอดเงินไหลเข้า 46,824 ล้านบาท ทั้งปี 2563 มียอดเงินการไหลออกสุทธิ 64,025 ล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 8,212 ล้านบาท และเงินไหลออกสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 72,237 ล้านบาท ส่งผลห้ ณ สิ้นปี 2563 นักลงทุนต่างชาติมีมูลค่าการลงทุนสะสมสุทธิในตราสารหนี้ไทยอยู่ที่ 857,151 ล้านบาท ลดลงจาก 916,816 ล้านบาท ณ สิ้นปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดความสะดวกกับผู้ออกตราสารหนี้ ThaiBMA ได้เปิดตัวระบบ Smart Funding Solution พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกบริษัท ผู้ออกตราสารหนี้ในการบริหารจัดการชำระดอกเบี้ยและเงินต้น วิเคราะห์ต้นทนุ และความเสี่ยงจำลองการออกตราสาร หนี้รุ่นใหม่ โดยระบบ Smart Funding Solution เป็น Web Based Application ผู้ออกตราสารหนี้ที่ประสงค์จะใช้งานสามารถลงทะเบียนเปิดAccountได้ท่ีสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยโทร0-2257-0357ต่อ352-353โดยไม่มีค่าใช้จ่าย