กรมบัญชีกลางออกกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่2) พ.ศ. 2563 โดยแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 2 พัสดุส่งเสริมวิสาหกิจและการประกอบอาชีพ เพิ่มเติมหมวด 7/1 พัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ และหมวด 7/2 พัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศและสอดคล้องทันสมัยกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ดำเนินการยกร่างกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบในหลักการจากคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (กวจ.) และการรับฟังความเห็นจากภาคเอกชน รวมถึงหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง และคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563 โดยกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม กฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน พ.ศ. 2563 โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
แก้ไขเพิ่มเติมหมวด 2 พัสดุส่งเสริมวิสาหกิจและการประกอบอาชีพ
กำหนดให้พัสดุส่งเสริมวิสาหกิจและการประกอบอาชีพ เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน โดยกำหนดวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ดังนี้ 1) กรณีพัสดุตามเงื่อนไขที่กำหนดในข้อ 6 (1) - (5) เช่น ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มอาชีพในหมู่บ้านและตำบล ผลิตภัณฑ์ของร้านค้าสหกรณ์ หรือสถาบันเกษตรกรที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรอง ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นเองหรืองานจ้างให้บริการรักษาความปลอดภัยขององค์กรสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผลิตภัณฑ์ขององค์กรหรือมูลนิธิเพื่อคนพิการที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย และผลิตภัณฑ์จากเรือนจำ สถานกักกัน หรือสถานกักขัง ตามเงื่อนไขที่กำหนด ให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจง หากหน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์ จะใช้วิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป หรือวิธีคัดเลือกก็ได้
2) กรณีผลิตผล ชิ้นงาน หรือบริการที่ผลิต หรือจัดทำขึ้นจาก SMEs ตามข้อ 6 (6) ให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ขึ้นบัญชีไว้ โดยให้ใช้เงินงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของงบประมาณ
เพิ่มเติมหมวด 7/1 พัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ
กำหนดให้พัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศตามที่ได้ขึ้นบัญชีรายการพัสดุและบัญชีรายชื่อไว้กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน
1) การจัดซื้อ ให้จัดซื้อพัสดุส่งเสริมการผลิตในประเทศตามวิธีการที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ ศ. 2560 แต่หากเป็นกรณีมีแต่ไม่พอเพียงต่อความต้องการ หรือมีจำนวนน้อยราย หรือมีความจำเป็นต้องใช้พัสดุที่ผลิตหรือนำเข้าจากต่างประเทศ ให้เสนอผู้มีอำนาจเหนือขึ้นไปหนึ่งชั้นพิจารณาโดยมีข้อยกเว้นตามที่กำหนด
2) การจัดจ้างงานก่อสร้าง ให้ใช้พัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของพัสดุที่จะใช้ในงานก่อสร้าง โดยให้ดำเนินการตามที่กำหนด
3) การจัดจ้างที่มิใช่งานก่อสร้าง ให้ใช้พัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของวัสดุหรือครุภัณฑ์ที่จะใช้ในงานจ้าง ทั้งนี้ การจัดจ้างทั้งงานก่อสร้างและมิใช่งานก่อสร้างข้างต้น ให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นคู่สัญญากำหนดวิธีปฏิบัติ เพื่อให้คู่สัญญารายงานมูลค่า หรือปริมาณการใช้พัสดุให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นคู่สัญญาทราบ
เพิ่มเติมหมวด 7/2 พัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามบัญชีรายชื่อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของกรมควบคุมมลพิษ ทั้งนี้ หากพัสดุที่จะจัดซื้อจัดจ้างมีผู้ขายหรือผู้ให้บริการเพียงรายเดียวให้ใช้วิธีเฉพาะเจาะจง แต่ถ้าหากมีผู้ขายหรือผู้ให้บริการตั้งแต่สองรายขึ้นไป ให้ใช้วิธีคัดเลือก
"นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขเพิ่มเติมที่ปรึกษาที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน ให้ครอบคลุมถึงสถาบันอุดมศึกษา ของรัฐทุกแห่ง โดยการยกเลิกความใน (ก) ของ (1) ของข้อ 29 แห่งกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน พ.ศ. 2563 สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงฯ ในครั้งนี้ เพื่อกำหนดให้พัสดุที่จัดทำขึ้น หรือจำหน่ายโดยผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศและพัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน เพื่อเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ และเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ รายละเอียดสามารถติดตามเพิ่มเติมผ่านทางเว็บไซต์ www.cgd go.th หรือผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่ CGD Application หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวันและเวลาราชการ" อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว