บจ. mai เริ่มเห็นการฟื้นตัวในไตรมาส 3 ปี 2563

บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2563 บจมียอดขายรวม 40,889 ลบ.  กำไรสุทธิรวม 1,610 ลบ. เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ด้านผลประกอบการงวด เดือนแรกปี 2563 มียอดขายและกำไรสุทธิ ลดลง จากงวด เดือน ปี 2562 เนื่องจากการบันทึกกำไรพิเศษของ บจ. ในกลุ่มทรัพยากร โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  ได้แก่กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน maiจำนวน 167 บริษัท คิดเป็น 95% จากทั้งหมด 176บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC บริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด บริษัทที่ส่งงบไม่ทันตามกำหนด) นำส่งผลการดำเนินงางวด 9 เดือนแรกปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 3กันยายน 2563 พบว่า บจที่รายงานผลกำไรสุทธิมีจำนวน 110 บริษัท คิดเป็น 66% ของบริษัทที่นำส่งผลการดำเนินงานทั้งหมด 

ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2563 ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดย บจ. มียอดขายรวม 40,889 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% กำไรจากการดำเนินงานหลัก 1,732ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.4และมีกำไรสุทธิ 1,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 443.7ส่วนความสามารถในการทำกำไร อัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ลดลงเล็กน้อยจาก 22.3% เป็น 22.0% มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit margin) 4.2% เพิ่มขึ้นจาก 3.4% และมีอัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin) 3.8% เพิ่มขึ้นจาก 0.8%

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง เดือนแรกของปี 2563 บจ. มียอดขายรวม 121,613 ลบ. ลดลง 8.5กำไรจากการดำเนินงาน 4,640 ล้านบาท ลดลง 5.6และมีกำไรสุทธิรวม 2,613 ล้านบาท ลดลง 69.4จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ในงวด 9 เดือนแรก ปี2562 มีการบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนของ บจแห่งหนึ่งในกลุ่มทรัพยากรมูลค่า 3,376 ลบ. ทำให้กำไรสุทธิรวมของงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากไม่รวมผลของ บจ.ดังกล่าว กำไรโดยรวมจะลดลง 32.5% ในส่วนของความสามารถในการทำกำไร มีอัตรากำไรขั้นต้น 22.1เพิ่มขึ้นจาก 21.8มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลัก 3.8% เพิ่มขึ้นจาก 3.7% และมีอัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 6.0% เป็น 2.1% ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจmai มีสินทรัพย์รวม 279,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% จากสิ้นปี 2562 ขณะที่โครงสร้างเงินทุนรวมยังแข็งแรงโดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.09 เท่า ขณะที่สิ้นปี2562 อยู่ที่ระดับ 1.01 เท่า

ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ปี 2563 ของ บจ. maiปรับตัวลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ยอดขาย และกำไรสุทธิลดลง แต่ยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลักได้ และยังมี 2 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นคือ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมนายประพันธ์กล่าว

ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 176 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 24พฤศจิกายน 2563) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 321.84 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 234,927.06 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,223.68 ล้านบาทต่อวัน