นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” กล่าวว่า มาตรการล็อคดาวน์ในหลายประเทศทั่วโลกเพื่อจำกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้คนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ จนลุกลามเป็นวิกฤติทางเศรษฐกิจทั่วโลกในที่สุด อย่างไรก็ดี ยอดขายสะสมโครงการบ้านเดี่ยว และทาว์นเฮาส์ 9 เดือนแรกของผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตได้ถึง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สวนทางกับการหดตัวของผลการดำเนินงานในหลายธุรกิจ ตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจที่พักอาศัยแนวราบที่ยังเติบโตได้ท่ามกลางวิกฤติ ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจนี้ส่วนใหญ่ของ S เป็นการดำเนินธุรกิจผ่านการถือหุ้น 51.56% ในบริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) หรือ “NVD”
คณะกรรมการบริษัทมีมติในวันที่ 14 สิงหาคม 2563 ให้บริษัทลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างบริษัทและกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน NVD เพื่อศึกษารายละเอียดและความเป็นไปได้ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นที่ทั้งสองฝ่ายถืออยู่ใน NVD โดยคู่สัญญาได้ดำเนินการตามเงื่อนไขของ MOU และได้ข้อสรุปในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 ว่า สิงห์ เอสเตทจะเป็นผู้ขายหุ้นสามัญใน NVD จำนวน 711,855,320 หุ้น คิดเป็น 51.56% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ NVD คิดเป็นเงินจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,793,875,406.40 บาท ให้แก่กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ NVD และคาดว่าจะทำการซื้อขายหุ้นดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2563 โดยภายหลังจากการซื้อขายหุ้นสามัญใน NVD ดังกล่าวแล้ว NVD จะสิ้นสภาพการเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ส่งผลให้ สิงห์ เอสเตท สามารถพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทเองโดยปราศจากเงื่อนไขป้องกันการดำเนินธุรกิจทับซ้อนระหว่างบริษัท และ NVD ที่ได้เคยกำหนดไว้
สิงห์ เอสเตท เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับอัลตร้าลักชัวรี โครงการที่อยู่อาศัยในปัจจุบันประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม 4 แห่ง ได้แก่ โครงการ ดิ เอส อโศก, ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์, ดิ เอส สุขุมวิท 36 และ ดิ เอ็กซ์โทร ตลอดจนโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 250 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส และยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายพอร์ตการลงทุนในธุรกิจที่พักอาศัย การขายหุ้น NVD ในครั้งนี้ช่วยปลดล็อคให้ สิงห์ เอสเตท สามารถพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบภายใต้การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของบริษัทได้อย่างเต็มตัว เพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง และต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์ปัจจุบันอย่าง ดิ เอส และ โครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการมีสัดส่วนรายได้จากที่อยู่อาศัยแนวราบต่อแนวสูงที่ระดับ 60:40 และหนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องของพอร์ตธุรกิจที่อยู่อาศัยของบริษัท
“การขายหุ้นใน NVD เพื่อปลดล็อคข้อจำกัดบางประการในการพัฒนาธุรกิจของบริษัท นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจที่พักอาศัยให้ครอบคลุมทั้งในด้านของสินค้าและเซกเมนท์ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการกระจุกตัวของกลุ่มลูกค้า ความผันผวนจากสภาวะตลาด และผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลอดจนเสริมสร้างการเติบโตของบริษัทที่ยั่งยืน และส่งมอบผลตอบแทนสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทในระยะยาว”