บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด
(มหาชน) ประกาศเดินหน้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าดันกำลังการผลิตให้สำเร็จตามเป้าหมาย
8,700 เมกะวัตต์ในปีนี้ หลังจากประสบความสำเร็จลงทุน 5
โครงการใหม่กำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวม 243 เมกะวัตต์
ส่งผลให้กำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 8,173 เมกะวัตต์ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา สำหรับผลประกอบการในช่วงรอบ
9 เดือนแรกของปีนี้ (1 มกราคม- 30 กันยายน 2563) บริษัทฯ มีกำไรเป็นจำนวน 4,157.21
ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17.8 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2562 เป็นผลจากรายได้ของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่
ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าหงสา ลดลง อย่างไรก็ดี ภาพรวมของรายได้ของบริษัทฯ
ยังคงแข็งแกร่ง เพราะมีการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าใหม่อีก 3 แห่ง
รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรของกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็กประเภทโคเจนเนอเรชั่น กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
และชีวมวล เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ
ยังคงมุ่งหน้าขยายการลงทุนธุรกิจผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักให้บรรลุเป้าหมาย 780
เมกะวัตต์ที่วางไว้ในปีนี้ โดยมุ่งหวังเพิ่มกำลังการผลิตให้ถึง 8,700 เมกะวัตต์ ขณะนี้
บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนอีก 5 โครงการในต่างประเทศ รวมกำลังการผลิตประมาณ 500-600
เมกะวัตต์ คาดว่าจะดำเนินการได้สำเร็จในปีนี้
ซึ่งจะทำให้กำลังผลิตปีนี้เพิ่มขึ้นได้ราว 740-840 เมกะวัตต์ บรรลุเป้าหมาย 8,700
เมกะวัตต์ สำหรับธุรกิจระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน
และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องด้านพลังงาน บริษัทฯ ได้ร่วมลงทุนร้อยละ 10 ในโครงการ Operation and
Maintenance โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน – นครราชสีมา (M6)
และสายบางใหญ่ – กาญจนบุรี (M81)
ซึ่งคาดว่าจะลงนามสัญญาสัมปทานได้ในเดือนธันวาคม ศกนี้ อีกทั้งยังได้ร่วมทุนจัดตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง
กำลังผลิต 60,000 ตันต่อปี ในสปป.ลาว
เพื่อส่งออกจำหน่ายให้ลูกค้าอุตสาหกรรมญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นหลัก
“ในปีนี้ บริษัทฯ จัดสรรงบลงทุนจำนวน
15,000 ล้านบาทสำหรับโครงการเดิม และโครงการใหม่
จนถึงปัจจุบันเงินลงทุนที่ใช้ไปแล้วจำนวน 10,150 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนใน 6 โครงการเดิม
เป็นเงิน 4,005 ล้านบาท และ 4 โครงการใหม่
เป็นเงิน 6,145 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
วงเงิน 8,000 ล้านบาท อายุเฉลี่ย 11 ปี ดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.45%
โดยนำมาใช้ลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู 1,300 ล้านบาท และโครงการพลังงานลม
Collector และ Yandin ในออสเตรเลีย
จำนวน 6,700 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงช่วยลดต้นทุนทางการเงินได้เท่านั้น
แต่ยังเป็นแหล่งเงินทุนทางเลือกที่จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายการลงทุนโครงการพลังงานทดแทนของบริษัทฯ
อีกทั้งยังขยายไปยังโครงการขนส่งที่สะอาด โครงการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการบริหารจัดการของเสีย ด้วย” นายกิจจา กล่าว
โครงการที่ได้ตกลงร่วมทุนสำเร็จแล้ว ในช่วง
9 เดือนที่ผ่านมา ประกอบด้วย
1. โรงไฟฟ้าพลังความร้อน Thang Long เวียดนาม กำลังผลิต 620 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 22.05%) เป็นการซื้อกิจการ
ซึ่งเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2561
2. โรงไฟฟ้าพลังงานลม Thanh
Phong เวียดนาม กำลังผลิต 29.70
เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 51%) กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ไตรมาส
4 ปี 2564
3. โรงไฟฟ้าเน็กส์ซิฟ เอ็นเนอร์จี จ.ระยอง
กำลังผลิต 92 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 49%) กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์
ไตรมาส 2 ปี 2565
4. โรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่น ส่วนขยาย จ.ปทุมธานี กำลังผลิต 30 เมกะวัตต์ กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์
ไตรมาส 3 ปี 2565
โครงการโรงไฟฟ้า REN จ.นครราชสีมา กำลังผลิต 40 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 40%)
กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ปี 2566
6.
จัดตั้งบริษัท SIPHANDONE-
RATCH-LAO จำกัด ใน สปป.ลาว
เพื่อดำเนินงานผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง (Wood Pellet) กำลังผลิต 60,000 ตันต่อปี ในแขวงจำปาสัก พื้นที่ 20,000 ไร่ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตในปี 2564 และผลิตส่งออกจำหน่ายในปี
2565
7.
โครงการดำเนินงานและบำรุงรักษาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง
สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6)
และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) ถือหุ้น 10%
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าเป้าหมายที่อยู่ระหว่างการเจรจาเป็นโครงการในต่างประเทศ
มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 500-600 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย
โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกวางจิ1 ในเวียดนาม โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 2 แห่ง
โครงการโรงไฟฟ้าพลังลม 1 แห่ง และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 1 แห่ง
ผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปี 2563
บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 30,403.12 ล้านบาท ประกอบด้วย
รายได้จากการขายและบริการและรายได้ตามสัญญาเช่าทางการเงินของโรงไฟฟ้าที่บริษัทฯ
ควบคุม จำนวน 26,636.39 ล้านบาท รายได้จากส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมทุนและเงินปันผล
จำนวน 3,333.80 ล้านบาท และรายได้จากดอกเบี้ยและอื่นๆ จำนวน 432.93 ล้านบาท ทั้งนี้
บริษัทฯ มีกำไรสำหรับงวดจำนวน 4,157.21 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.87
บาท
ฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 กันยายน
2563 มีสินทรัพย์รวมจำนวน 110,910.11 ล้านบาท หนี้สินจำนวน 50,925.97
ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 59,984.14 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง
ซึ่งสะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.59 เท่า
อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ (DSCR) 6.09 เท่า
และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น 8.08%