กรุงศรี เผยกำไรสุทธิ 9 เดือน 19.7 พันล้านบาท


กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชนและบริษัทในเครือรายงานผลกำไรสุทธิสำหรับงวดเก้าเดือนแรกของปี 2563 จำนวน 19.7 พันล้านบาท ลดลง 25.3% หรือจำนวน 6.6 พันล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยมีปัจจัยจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวยและเนื่องจากไม่มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้นจำนวน 50% ของบริษัท เงินติดล้อ จำกัด และค่าใช้จ่ายเพื่อรองรับประมาณการหนี้สินที่เพิ่มขึ้นจากการชดเชยกรณีพนักงานเกษียณและเลิกจ้างตามการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2562 หากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าวในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2562 กำไรสุทธิในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2563 ลดลง4.1% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของการตั้งสำรองเพื่อรองรับการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อซึ่งสะท้อนการบริหารจัดการคุณภาพของสินทรัพย์ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และการลดลงของกำไรจากการดำเนินงาน

ทั้งนี้กำไรสุทธิจำนวน 19.7 พันล้านบาท ลดลง 25.3% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 สำหรับไตรมาส 3/2563 ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 6.1 พันล้านบาท ลดลง 6.8% จากไตรมาส 3/2562 และลดลง 6.0% จากไตรมาส 2/2563  ,เงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 1.4% หรือจำนวน 25.7 พันล้านบาท จาก  สิ้นเดือนธันวาคม 2562 โดยมาตรการการให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อและมาตรการในการเสริมสภาพคล่องของธนาคารให้กับลูกค้ามีส่วนช่วยให้สินเชื่อเติบโตในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2563 โดยสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่สินเชื่อลูกค้า SME และสินเชื่อเพื่อรายย่อยมีอัตราการเติบโต1.6%, 2.6% และ 0.9% ตามลำดับ

ด้านเงินรับฝากเพิ่มขึ้น 10.4% หรือจำนวน 162.3 พันล้านบาท จาก  สิ้นเดือนธันวาคม 2562  ,ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM): อยู่ที่ 3.63% เทียบกับ 3.68% ในช่วงเดียวกันของปี 2562  ,รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 32.9% หรือจำนวน 11.7 พันล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยมีปัจจัยหลักจากการปรับลดลงของกำไรจากการลงทุนเนื่องจากไม่มีรายการพิเศษจากการขายเงินลงทุนในบริษัท เงินติดล้อ จำกัด ที่บันทึกในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2562 และการปรับลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ ,อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้: อยู่ที่ระดับ 41.2% ปรับตัวดีขึ้นจาก 42.6% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายเชิงรุก,อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio): อยู่ที่ระดับ 2.24% เทียบกับ 1.98%  สิ้นเดือนธันวาคม 2562อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ระดับ 160.6% เทียบกับ 163.8% สิ้นเดือนธันวาคม 2562

อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงยังคงแข็งแกร่งที่ระดับ 17.13% เทียบกับ 16.56%  สิ้นเดือนธันวาคม 2562

นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “จากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไตรมาสสาม ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดอย่างมีนัยสำคัญ 

ในฐานะธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญเชิงระบบ กรุงศรียังคงดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อบรรเทาภาระทางการเงินสำหรับลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อยที่ประสบปัญหา ในไตรมาส 3/2563 ธนาคารได้ให้การสนับสนุนลูกค้าด้วยการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ลูกค้าก่อนการครบกำหนดมาตรการพักชำระหนี้ในระหว่างไตรมาส

สำหรับแนวโน้มธุรกิจโดยรวม นายอาคิตะกล่าวว่า “เราคาดว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง และมาตรการทางการคลังของรัฐบาลรวมถึงมาตรการทางการเงินและสินเชื่อ จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสี่ อย่างไรก็ตาม ความเปราะบางทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูงจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นทั่วโลก ซึ่งอาจจะนำไปสู่การหวนกลับมาใช้มาตรการ

ล็อกดาวน์อีกครั้ง รวมทั้งความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลงของภาคธุรกิจในประเทศและภาคครัวเรือน ท่ามกลางการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่อ่อนแอ

กรุงศรียังคงให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจผ่านมาตรการด้านสินเชื่อและการปรับโครงสร้างหนี้ตลอดจนการสนับสนุนด้านสภาพคล่อง นอกจากนี้ ธนาคารจะดำเนินการติดตามและจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างรอบคอบระมัดระวังเพื่อความแข็งแกร่งของพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร และมุ่งเน้นการกำกับดูแลด้วยความเข้มงวดเพื่อให้เชื่อมั่นว่าธนาคารมีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองในระดับสูงและเพียงพอที่จะรองรับกับความท้าทายทางการเงินและเศรษฐกิจ

 วันที่ 30 กันยายน 2563 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าของไทยด้านสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินฝาก และเป็นหนึ่งในห้าสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.84 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.73 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.49 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่276.54 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 17.13% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 12.24%