บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป) มองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจทั้ง 4 กลุ่ม ภายในปี 2563 ประกาศพร้อมรับการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ เตรียมเซ็นสัญญาเช่าคลังสินค้าและโรงงาน ตลอดจนการซื้อขายที่ดินอีกหลายฉบับ มั่นใจความต้องการด้านสาธารณูปโภคน้ำ ไฟฟ้า และแพลตฟอร์มดิจิทัล เพิ่มสูงขึ้น
ตลอดปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่องด้วยการเตรียมนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงมาใช้ในการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ อาทิเทคโนโลยี 5G, อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (IoT),ระบบการจัดเก็บและเรียกคืนสินค้าอัตโนมัติ (AS/RS) และรถลำเลียงสินค้าอัตโนมัติ (AGV) นวัตกรรมล้ำสมัยเหล่านี้ช่วยให้การทำงานเป็นระบบอัตโนมัติมากขึ้น ทำให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกันทั่วทั้งองค์กร พร้อมขับเคลื่อนพันธกิจของดับบลิวเอชเอกรุ๊ปในการเป็นศูนย์โลจิสติกส์และนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะอย่างสมบูรณ์แบบ โดยดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป วางแผนว่าจะขายพื้นที่คลังสินค้า Built-to-Suit จำนวน 130,000 ตารางเมตร เข้ากองทรัสต์ WHART และพื้นที่โรงงาน RBF และคลังสินค้า RBW จำนวน 50,000 ตารางเมตร เข้ากองทรัสต์ HREIT คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินรวม 4,600 ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีการปรับเป้าหมายยอดขายที่ดินในปี 2563 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันโดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินรวมทั้งปีเท่ากับ 900 ไร่ แบ่งเป็นยอดขายในประเทศไทย 600 ไร่ และประเทศเวียดนาม 300 ไร่ ซึ่งแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาการเจรจาเพื่อขายและส่งมอบที่ดินจะยังไม่สามารถทำได้เต็มที่นักเนื่องจากข้อจำกัดการเดินทางแต่บริษัทฯ ก็ได้มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่อาทิ โดรน มาใช้เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการขายที่ดิน ตลอดจนได้มีการเสนอแนวทางเปิดน่านฟ้าและมาตรการรองรับการเดินทางสำหรับนักธุรกิจโดยเฉพาะต่อภาครัฐเพื่อสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บมจ.ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ได้ประกาศการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท บีไอจี ดับบลิวเอชเอ อินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด ร่วมกับบริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ บีไอจี สร้างโรงผลิตก๊าซอุตสาหกรรมและระบบท่อส่งก๊าซ เพื่อให้บริการลูกค้าที่ต้องการใช้ไนโตรเจนในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) และนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 ซึ่งเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมยานยนต์ที่สำคัญของไทย และเตรียมขยายการให้บริการไปยังนิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ ของดับบลิวเอชเอต่อไป
เมื่อเร็วๆ นี้ บมจ. ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียลดีเวลลอปเมนท์ ยังได้ประกาศการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ทัสจำกัด ร่วมกับ ทัส-โฮลดิ้งส์ ผู้พัฒนาศูนย์บ่มเพาะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำจากประเทศจีน ภายใต้มหาวิทยาลัยชิงหวา มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศจีน โดยดับบลิวเอชเอ ทัส จะจัดตั้งศูนย์สร้างนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจภายใต้ชื่อ “ทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ” แห่งแรกในประเทศไทย ภายในพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บนถนนพระราม 4 ตั้งเป้าหมายขับเคลื่อนสตาร์ทอัพและส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างจีนและประเทศไทย ตลอดจนประเทศอื่นๆ ในอาเซียน
ในประเทศเวียดนาม เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน - 1 เหงะอาน ยังคงดึงดูดการลงทุนจากลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาได้ต้อนรับลูกค้ากลุ่มแรกจากจีน ญี่ปุ่น และประเทศไทย เตรียมดำเนินการผลิตสินค้าหลากหลายในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ เครื่องแต่งกาย ชิ้นส่วนยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง การแปรรูปอาหาร พลังงานแสงอาทิตย์ ผลิตภัณฑ์จากสเตนเลสสตีล และอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีลูกค้าดำเนินการซื้อขายที่ดินไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ขายในส่วนแผนงานที่ 1 ของเขตอุตสาหกรรมฯ เฟสที่ 1ซึ่งมีพื้นที่จำนวน 145 เฮกเตอร์
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 บมจ. ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการลงทุนของบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนจากญี่ปุ่นและไต้หวันที่ต้องการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังประเทศไทยและเวียดนาม
ในประเทศเวียดนาม การบำบัดน้ำเสียแบบระบบบ่อเติมอากาศและระบบบำบัดน้ำเสียแบบบึงประดิษฐ์ เริ่มดำเนินการในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 - เหงะอาน เพื่อรองรับความต้องการการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า
โดยภายในสิ้นปี 2563 บมจ. ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ ได้ตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 592 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นพลังงานเชิงพาณิชย์ 547 เมกะวัตต์ พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา 42 เมกะวัตต์ และที่เหลืออีก 3 เมกะวัตต์ มาจากโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมชลบุรี คลีน เอ็นเนอร์ยี (CCE)