นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเพิ่มทุนครั้งนี้ บริษัทจะสามารถทำกำไรก่อนหักภาษี ,ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตกว่าเท่าตัวกว่า 7,000 ล้านบาทถึง 8,000 ล้านบาท โดยในปีนี้ที่คาดว่าจะมี EBITDA 3,500 ล้านบาท เป็นผลจากการที่บริษัทเดินหน้าลงทุนโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งงบลงทุนกว่า 4.5หมื่นล้านบาทในช่วง 5 ปี (ปี 64-68) ซึ่งจะมาจากการเพิ่มทุน 1 หมื่นล้านบาท เงินกู้ 3 หมื่นล้านบาท และเงินสดจากการดำเนินงาน(Cash flow) 5 พันล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทได้ออกหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้จำนวน 1.3 พันล้านหุ้น คาดว่าจะได้รับเงินเพิ่มทุนประมาณ 1.035 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทมีแผนใช้แงินลงทุนประมาณ 6,650 ล้านบาทในโครงการที่มีอยู่แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาดังนี้
1. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยจำนวน 4 โครงการ ตั้งอยู่ในบริเวณ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดลพบุรี และจังหวัดปราจีนบุรี มีกำลังการผลิต ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวม 20 เมกะวัตต์ คาดว่าใช้เงินลงทุน 1,210 ล้านบาท
2. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมใน สปป. ลาว กำลังการผลิต 600 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติแผนการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ รวมถึงการก่อสร้างสายส่งขนาด 500 กิโลโวลต์ เพื่อรองรับการซื้อไฟฟ้าจากโครงการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ คาดว่าโครงการฯ จะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2566 คาดว่าใช้เงินลงทุน 3,570 ล้านบาท
3. การชำระหนี้เงินกู้ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A และ Nam San 3B ใน สปป. ลาว และการสร้างสายส่งขนาด 220 กิโลโวลต์ เพื่อส่งไฟฟ้าที่ผลิตจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำทั้ง 2 แห่ง ไปยังประเทศเวียดนาม
นายบัณฑิต ยังกล่าวว่า ในส่วนผลกระทบด้าน dilution จากการเพิ่มทุนของบริษัท เชื่อว่ามีผลกระทบแค่ระยะสั้นเท่านั้นเพราะในปี 2564 คาดว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) จะเติบโตตามโครงการที่ขยายการลงทุนออกไป เนื่องจากมีการรับรู้กำไรในโครงการในพอร์ตของบริษัทฯ นั่นคือโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศ 4 โครงการ กำลังการผลิตรวม 20 เมกะวัตต์ , โครงการพลังงานน้ำ Nam San 3Aและ Nam San 3B ในสปป.ลาว จะมีน้ำในเขื่อนที่เพิ่มขึ้นหลังจากผ่านพ้นภาวะแล้งก็จะทำให้ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น , ค่าไฟฟ้าจากโครงการพลังงานลมในฟิลิปปินส์ได้ปรับเพิ่มขึ้น 15-20% และโครงการใหม่ที่จะเข้าซื้อภายใต้กรอบวงเงิน 3.7 พันล้านบาทใช้เพื่อลงทุนพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าทั้งใน และต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการศึกษา และพิจารณาข้อเสนอ ซึ่งตั้งเป้าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity/ ROE) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 คาดจะมีกำไรราว 370 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถลดผลกระทบด้าน dilution ในระยะสั้นได้อย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน บริษทยังคงนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
ทั้งนี้บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ปัจจุบันถือหุ้นใหญ่ 70% และหลังการเพิ่มทุนจะถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 51-52% และหากการเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจ (pp2) สำเร็จ สัดส่วนการถือหุ้นของ BCP จะลดลงมาอยู่ที่ 51-52%