ASIA PLUS เผยแผ่นดินไหวสะเทือนเศรษฐกิจไทย ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและตลาดหุ้น

         บล.เอเชีย พลัส เผยว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ ส่งผลต่อแต่ละ SECTOR มากน้อยเพียงใด ประเทศไทยเคยเกิดเหตุภัยพิบัติหนักๆอยู่ 3 ครั้งใหญ่ ได้แก่ เหตุการณ์สึนามิ, น้ำท่วมใหญ่ และ แผ่นดินไหวเชียงราย ซึ่งหากย้อนรอยเศรษฐกิจไทยในช่วงนั้น จะเห็นได้ว่า ทั้ง 3 เหตุการณ์ส่งผลลบให้เศรษฐกิจเสียกหายราว 4.55 แสนล้านบาท, 1.4 ล้านล้านบาท และ 2.2 พันล้านบาท ตามลำดับ โดยแผ่นดินไหวครั้งนี้หอการค้า คาดว่าจะฉุดเศรษฐกิจ ไทยระยะสั้น ประเมินความเสียหายราว 3-5 พันล้านบาท กระทบ GDP ราว 0.025% อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าหาก เหตุการณ์คลี่คลายลง เศรษฐกิจไทยก็พร้อม ฟื้นตัวขึ้นทันที


         ขณะที่หากพิจารณาในมุมตลาดหุ้นไทย(SET) จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ จะคล้ายคลึงกับการเกิดสึนามิปี 47 มากกว่าการเกิดอุทกภัย ปี 54 เนื่องด้วยการเกิดอุทกภัย ปี 54 ช่วงเวลาที่เกิดต่อเนื่องนานถึง 5 เดือน ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์สึนามิปี 47 SET ปรับตัวลงเพียง 3 วันแรกเท่านั้น และหลังจากนั้นจะทยอยฟื้นตัวขึ้นในช่วง 1-3 เดือน ตาม FLOW ต่างชาติที่ทยอยไหลเข้า ซึ่งต้องติดตามว่าการ PANIC SELL ครั้งนี้จะคล้ายกับเหตุการณ์ในอดีต หรือไม่ เนื่องด้วย VOLUME การซื้อขายขณะนี้เบาบางกว่าในอดีต

ซึ่งหากพิจารณา VOLUME BAND ของ SET ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนกังวล TRADE

TARIFF ที่จะเกิดขึ้นวันที่ 2 เม.ย.68 จึงทำให้ VOLUME ปัจจุบันอยู ่ราว 2.2 -3.0 หมื่นล้านบาท เท่านั้น ใกล้เคียงระดับลบ 1.5 -2 SD.


         แผ่นดินไหวครั้งนี้ ส่งผลต่อแต่ละ SECTOR อย่างไรบ้าง แผ่นดินไหวใหญ่ครั้งนี้ จะส่งผลต่อกระทบต่อแต่ละ SECTOR มาก-น้อยเพียงใด หรือมี SECTOR ไหนได้ประโยชน์ จากเหตุการณ์นี้


กลุ่มอสังหาฯ : เป็นปัจจัยลบต่อกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย นอกจากกระเทือนต่อภาพรวมคอนโดฯ, การดำเนินงาน 2Q68 ทรุดตัว (ทั้งผลกระทบวันหยุดยาวเดือน เม.ย. และดีมานด์ชะงัก) และเพิ่ม DOWNSIDE ต่อประมาณการกำไร ปีนี้ ย่อมสร้างแรงกระแทกต่อหุ้นในกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และทำให้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น UNDERPERFORM ตลาดฯ จึงแนะนำลงทุนน้อยกว่าตลาดสำหรับกลุ่มฯ พร้อมหลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ จนกว่าจะเห็นสถานการณ์ดีขึ้น หรือความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา โดยจะเร็วช้าขึ้นอยู่กับหลายฝ่ายทั้งภาครัฐและ ภาคเอกชนอย่างผู้ประกอบการ ซึ่งปัจจุบันทุกรายต่างเร่งแก้ปัญหา และ TAKE ACTION อย่างเร่งด่วน นอกจากเพื่อ ช่วยเหลือลูกบ้าน ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจให้กับโครงการ/แบรนด์สินค้า เบื้องต้นประเมินผลกระทบไล่ จากมากสุดมายังน้อยสุด คือ กลุ่มพอร์ตหลักคอนโดฯ > กลุ่มผสม (แนวราบ/คอนโดฯ) AP, SPALI, SIRI, SC และ

PSH > กลุ่มพอร์ตหลักแนวราบ (LH, QH, LALIN)


กลุ่มธนาคาร: ในเชิงโครงสร้าง ฝ่ายวิจัยมีความเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยดูมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น อาจนำไปสู่โอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ภาวะแผ่นดินไหว ส่งผลต่ออาคารสูง โดยเฉพาะคอนโด แม้อาคารส่วนใหญ่มีความปลอดภัยเชิงโครงสร้าง แต่การเรียกความเชื่อมั่นของผู้อยู่อาศัยต้องใช้เวลา ทำให้ต้องจับตามูลค่าหลักประกันกลุ่มคอนโด HIGH RISE ทั้งที่บันทึกเป็นสินเชื่อและ NPA ในระยะสั้นมีแนวโน้มนำไปสู่ระดับการตั้งสำรองสูงขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านมูลค่าหลักประกัน (ส่วนของ NPA อาจบันทึกใน OPEX) โดย ธ.พ. ที่มีสัดส่วนสินเชื่อบ้าน 3 อันดับแรก นำโดย SCB (32% ของสินเชื่อ) ตามด้วย TTB (สัดส่วน 26% ของสินเชื่อ) และ KTB (สัดส่วน

19%) ส่วนประเด็นมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของแต่ละธนาคาร อาทิ ลดค่างวด พักชำระเงินต้น และลดดอกเบี้ย เป็นมาตรการช่วยเหลือตามปกติช่วงเกิดภัยพิบัติ ดังที่เคยเกิดขึ้นเมื่อน้ำท่วมปีก่อน โดย ธปท. ให้คงการจัดชั้นลูกหนี้ไว้ เช่นเดิม ชะลอการไหลตกชั้น ภาพรวมผลกระทบการช่วยเหลือลูกหนี้ส่งผลต่อดอกเบี้ยรับ (ขึ้นอยู่กับจำนวนลูกหนี้เผ่านการพิจารณาให้ข้าร่วมมาตรการ ตามนโยบายของแต่ละธนาคาร) แต่การคงการจัดชั้นช่วยให้ภาระการตั้ง ECL ไม่เพิ่มขึ้น เข้ามาลดทอนผลกระทบ โดยสรุปมองกลางต่อมาจรการช่วยเหลือลูกหนี้ แต่ให้น้ำหนักกับ 2 ปัจจัยเชิง

โครงสร้างข้างต้น (ทิศทางดอกเบี้ยและมูลค่าหลักประกัน) มากกว่า


ทั้งนี้ SENSITIVITY ANALYSIS สะท้อนทุก 0.1% ของ NIM ที่ลดลงจากสมมติฐาน (กรณีรับรู้ผลกระทบเต็มปี) จะกระทบกำไรกลุ่มฯ ราว 7% (เนื่องจากการประชุม กนง. รอบถัดไป อยู่วันที่ 30 เม.ย. หากมีการลดรอบดังกล่าว จะรับรู้ผลกระทบ 8 เดือน จะกระทบกำไรกลุ่มฯ ราว 5%) โดย ธ.พ. ใหญ่ จะมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ซึ่ง KTB KBANK จะสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยมากสุด ตามด้วย BBL (มีสัดส่วนสินเชื่อต่างประเทศ 25% และในประเทศ 75%) ในขณะที่ 0.1% ของ CREDIT COST ที่เปลี่ยนแปลงจากสมมติฐาน จะส่งผลต่อกำไรราว 5% และ สินเชื่อที่เปลี่ยนแปลง 1% จะทำให้กำไรเปลี่ยนแปลง 0.8% ภาพ SENSITIVITY ข้างต้น บ่งชี้ NIM และ CREDIT COST

มีน้ำหนักมากกว่าความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น โดยความเห็นการลงทุนกลุ่มฯ ปรับเน้นตั้งรับ รอสงบ ค่อยกลับเข้าหาจังหวะลงทุน เพราะมองว่า DIV YIELD ยังน่าสนใจ ยังคงชอบ ธ.พ. ที่มี COVERAGE RATIO สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ อย่าง KTB, BBL ลดทอนผลกระทบจากการตั้งสำรองได้ดีกว่ากลุ่มฯ รวมถึง ธ.พ. ที่มี TAX SHIELD และการซื้อหุ้นคืน ช่วยจำกัด DOWNSIDE อย่าง TTB

ขณะที่ ธ.พ. เล็ก เลือก TISCO มากกว่า KKP


กลุ่มท่องเที่ยว : ภาพรวมอาคารโรงแรมให้บริการได้ตามปกติ แต่ยังต้องติดตามความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในระยะถัดไป หลังปัจจุบันความไม่มั่นใจด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนยังสูง ทำให้สถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย จากสมมติฐานปัจจุบันที่ทำไว้ 38.6 ล้านคน (+9% YOY) โดยผลกระทบจากการณ์ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย ต่ำกว่าสมมติฐาน เรียงตามสัดส่วนรายได้ในไทย ดังนี้ AOT > ERW > CENTEL และMINT (สัดส่วนโรงแรมไทยไม่เกิน 20% ของรายได้ สัดส่วนหลักๆ 50% ของรายได้มาจากโรงแรมใน EU และอีก 20%

มาจากธุรกิจร้านอาหาร) ในเชิงกลยุทธ์หาก MINT ซึ่งได้รับผลกระทบต่ำสุด ย่อตัว ตามการปรับพอร์ตของนักลงทุนเพิ่อลดความเสี่ยง ประเมินเป็นโอกาสสะสม


กลุ่มเครื่องดื่ม : คาดผู้ผลิตที่มีโรงงานในหรือการจัดจำหน่ายสินค้าในเมียนมาร์ อย่าง OSP และ CBG แม้โรงงานของทั้ง 2 บริษัทไม่ได้รับความเสียหาย แต่อาจกระทบต่อยอดขายจากกำลังซื้อในเมียนมาที่ลดลง เนื่องจากมีพื้นที่ได้รับความเสียหายหลายจังหวัด


กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี : เบื้องต้นบริษัทในกลุ่มฯ ได้มีการชี้แจงว่าโครงการต่างๆของบริษัทในกลุ่มฯยังคงดำเนินการปกติ อาทิ PTT ได้มีการชี้แจงว่าโรงแยกก๊าซฯ สถานีรับ-จ่าย LNG และท่อส่งก๊าซฯ ยังสามารถดำเนินการได้ปกติ เช่นเดียวกับ PTTEP แม้จะมีโครงการอยู้ในประเทศเมียนมา แต่บริษัทมีการชี้แจงว่า แท่นผลติก๊าซธรรมชาติที่ PTTEP เป็นผู้ดำเนินการทั้งในอ่าวไทย และอ่าวเมาะตะมะ ประเทศเมียนมา ยังสามารถดำเนินการผลิตก๊าซธรรมชาติเพื่อรองรับการใช้พลังงานได้ตามปกติ


กลุ่มโรงไฟฟ้า : กลุ่มโรงไฟฟ้าที่ฝ่ายวิจัยศึกษา อาทิ RATCH, GPSC, GUNKUL, SSP, และ BPP ซึ่งมีบาง

โครงการที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย หรือบริเวณประเทศใกล้เคียงคือ สปป.ลาว โดยผู้บริหารในกลุ่มนี้ได้ออกมายืนยันว่าทุกโครงการยังสามารถดำเนินการได้ตามปกติ และไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว เช่นเดียวกับ BGRIM ,EGCO,GULF, และ BCPG ที่มีโครงการที่ดำเนินการอยู่ทั้งในประเทศไทย และ สปป. ลาว โดยฝ่ายวิจัยได้ติดต่อสอบถามไปยังบริษัทฯเพิ่มเติม และได้รับการยืนยันว่า ตามการตรวจสอบเบื้องต้น โครงการที่ดำเนินการอยู่ ไม่ได้รับผลกระทบ หรือยังไม่มีโครงการใดที่มีรายงานด้านความเสียหาย ดังนั้น จึงมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบ ต่อภาพรวมกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ค่อนข้างจำกัด


กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง : งานก่อสร้างของบริษัทรับเหมาฯภายใต้ COVERAGE คือ CK และ STECON ไม่ได้รับกระทบ ขณะที่โอกาสได้งานใหม่จากการซ่อม/สร้าง จากเหตุแผ่นดินไหวมีไม่มาก เพราะความเสียหายไม่ได้เกิดกับงานโครงสร้าง


กลุ่มขนส่ง : BEM ได้รับผลกระทบเพียงระยะสั้น เพราะการเดินทางยังเป็นสิ่งจำเป็น รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและม่วงเปิดให้บริการปกติ ส่วนทางด่วนที่ปิดด่านดินแดง เพราะมีเศษวัสดุจากอาคารสูงตกลงมา ก็กลับมาเปิดได้แล้วเช้าวันนี้


กลุ่ม NON – BANK : อาทิ MTC, TIDLOR และ SAWAD น่าจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยหลังดอกเบี้ยเงินกู้ยืมทยอย REPRICING เพียงแต่ BOND YIELD สหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยดูท้าทายขึ้น เป็นปัจจัยลบเชิง SENTIMENT โดยรวมเน้นตั้งรับหุ้นในกลุ่มจะเหมาะสมกว่าในวันนี้


กลุ่มวัสดุก่อสร้าง(+) : บริษัทในกลุ่มฯที่ได้ประโยชน์คือผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างงานตกแต่ง ได้แก่ กระเบื้อง ผนัง และสี เช่น DCC,SCGD,DRT,TOA ขณะที่งานซ่อมแซมในเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้ปูนซีเมนต์มีไม่มาก


กลุ่ม ICT : คาดได้ประโยชน์ในวันที่มีแผ่นดินไหว และหลังเกิดเหตุไปอีก 1 -2 วัน ตามปริมาณการใช้งานมือถือที่คาดจะเพิ่มขึ้น เพราะผู้คนจะติดต่อสอบถามความเป็นไป รวมทั้งติดต่อหน่วยงานที่จะเข้าตรวจอาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัย


กลุ่มค้าปลีก/ ค้าส่งออก : คาดกลุ่มผู้จำหน่ายสินค้าตกแต่ง ซ่อมแซมบ้าน ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะ HMPRO ที่มีสินค้าหลักเป็นสินค้าตกแต่ง/ซ่อมแซม โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าระดับปานกลาง-สูง ขณะที่อาคารที่พักอาศัยที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่จะอยู่ใน กทม. มีกำลังซื้อซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง นอกจากนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่คาดจะเป็นการตกแต่ง/ซ่อมแซม ให้กลับสภาพเดิม มากกว่าจะเป็นความเสียหายทางโครงสร้างอาคาร ส่วนกลุ่มค้าส่ง คาดได้ประโยชน์จากการที่ผู้คนอาจหลีกเลี่ยงการไปจับจ่ายในห้างสรรพสินค้าที่เป็นอาคารสูง และหันไปซื้อใน

ร้านค้าส่ง อย่าง CPAXT รวมทั้งร้านสะดวกซื้ออย่าง CPALL ไปก่อน