“TFM” พัฒนาอุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำ รับดีมานด์ตลาดโลก ตั้งเป้าปี 2573 รายได้แตะ 1 หมื่น ลบ.

        นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมกุ้งของประเทศไทยยังคงเป็นเสาหลักสำคัญของภาคเกษตรกรรม แม้จะเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความร่วมมือในห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่เกษตรกร ห้องเย็น ภาคเอกชน และภาครัฐ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มปริมาณผลผลิตกุ้งของประเทศให้แตะระดับ 400,000 ตันต่อปี ตามแนวทางของรัฐบาลที่กำหนดผ่านกรมประมงและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมผลักดันมาตรฐานฟาร์มให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ Aquaculture Stewardship Council (ASC) เพื่อตอบโจทย์ตลาดโลกและยกระดับความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย


        TFM ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับการเติบโตของตลาดในประเทศเท่านั้น แต่ยังมุ่งขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยมีการร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ เช่น บริษัท อะแวนติฟีดส์ จำกัด (Avanti Feeds) ในอินเดีย ซึ่งเป็นผู้นำตลาดอาหารกุ้งที่ครองส่วนแบ่งเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ รวมถึง บริษัท พีที ไทยยูเนี่ยน คาริสม่า เลสทารี จำกัด (TUKL) ในอินโดนีเซีย ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยตั้งเป้าหมายก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของตลาดภายในปี 2569 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมขยายการส่งออกไปยังเวียดนามผ่านเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ด้วยความสามารถในการให้บริการที่ครบวงจรตั้งแต่ก่อนถึงหลังการขาย ทำให้ TFM สามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน


กลยุทธ์หลักที่ TFM ใช้ในการขยายธุรกิจและสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องประกอบด้วย 4 แนวทางสำคัญ ได้แก่ 1) การรักษาคุณภาพของอาหารสัตว์ให้สม่ำเสมอ (Consistent Feed Quality) 2) การสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเกษตรกร (Farmer Engagement) 3)         การขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partnership) และ 4) การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายรายได้ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2573 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 11% ผ่านการขยายตัวในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอาหารกุ้งและอาหารปลา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ รวมถึงการพัฒนาอาหารปลาน้ำจืดเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาด


        ในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 5,365 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5.6% จากปีก่อนหน้า อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 18.7% และมีกำไรสุทธิ 535 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 5 เท่าตัว สำหรับปี 2568 TFM ตั้งเป้าหมายการเติบโตของยอดขายไว้ที่ 8-10% พร้อมรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในช่วง 18-20% ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมขยายกำลังการผลิตในอินโดนีเซีย และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขัน รวมถึงพิจารณาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรในตลาดใหม่ ๆ สำหรับตลาดในประเทศ บริษัทฯ จะรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มอาหารกุ้ง อาหารปลากะพง และอาหารกบ พร้อมขยายตลาดไปยังกลุ่มอาหารปลาน้ำจืดที่มีมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายขึ้นเป็นผู้นำตลาดในอนาคต ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น อาหารปลานิล "ขุนศึก" อาหารกบ "กบทอง" และอาหารปลากดคัง "โปรฟีดปลากดคัง" เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่หลากหลายและสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง