WHA Group กวาดกำไรปกติครึ่งปีแรก 715ล้านบาท ไตรมาส 2 โต 164%


 บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group มั่นใจธุรกิจครึ่งปีหลังฟื้น รับอานิสงส์คลายล็อกดาวน์จากสถานการณ์โควิด-19 ต่างชาติเตรียมกลับมาลงทุน ลูกค้าจ่อเซ็นสัญญาใหม่ ทั้งเช่าคลังสินค้าและโรงงาน – ขายที่ดิน ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภค ส่งสัญญาณฟื้น เชื่อลูกค้าใช้บริการน้ำ-ไฟฟ้าครึ่งปีหลังเพิ่มด้านผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,967 ล้านบาท และ 542 ล้านบาท ตามลำดับ โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ และกำไรสุทธิปกติทั้งสิ้น 1,885 ล้านบาท และ 518 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% และ 164% ตามลำดับจากไตรมาส ปี 2563 สำหรับครึ่งปีแรก ปี 2563 รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติอยู่ที่ 3,284 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิปกติ 715ล้านบาท

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,967 ล้านบาท และ 542 ล้านบาท ตามลำดับ โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ และกำไรสุทธิปกติทั้งสิ้น 1,885 ล้านบาท และ 518 ล้านบาท ลดลง 35และ 45ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาส ปี 2562 ด้านผลการดำเนินครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 3,245 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 641 ล้านบาท โดยหากพิจารณาถึงผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงาน 3,284 ล้านบาท และกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 715 ล้านบาท ลดลง 26และ 35% ตามลำดับจากปีที่แล้ว ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการโอนที่ดินเลื่อนจากมาตรการจำกัดการเดินทางเข้าประเทศ การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงของโรงไฟฟ้า Gheco-One การหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงไฟฟ้า SPP 3 แห่ง และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในโครงการใหม่ของธุรกิจสาธารณูปโภค หากเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติและกำไรสุทธิปกติ เพิ่มขึ้น 35% และ 164% ตามลำดับ โดยมีสาเหตุหลักจากรายได้จากธุรกิจที่ดินและการขายอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2 ปี 2563 เพิ่มขึ้น 107จากไตรมาส 1 ปี 2563 และการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจโลจิสติกส์

สำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ยังคงเติบโต โดยบริษัทฯ มีรายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 761 ล้านบาทโดยในช่วงครึ่งปีแรกมีการเซ็นสัญญาเพิ่มเติมของการใช้พื้นที่เช่าคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า ตามการขยายตัวของธุรกิจ E-Commerceและ Consumer ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องสำหรับแผนการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ในปีนี้เป็นไปตามคาด โดยคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากการขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ WHART และ HREIT มูลค่ารวมประมาณ 4,600 ล้านบาท ได้ในช่วงไตรมาส 

สำหรับธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม บริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจที่ดินและการขายอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 811 ล้านบาท มีการชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการโอนที่และขายที่ดินใหม่มีการเลื่อนออกไปจากมาตรการจำกัดการเดินทางเข้ามายังประเทศไทย สำหรับธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนามนั้น คาดว่าปีนี้มียอดขายที่ดินเกินกว่าเป้าหมายที่บริษัทฯ ตั้งไว้ ทั้งนี้ ลูกค้ากลุ่มต่างๆ ยังคงแสดงความสนใจเข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องจากทิศทางการกระจายการลงทุนออกจากประเทศจีนของกลุ่มนักลงทุนหลายกลุ่มทั้ง จีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น ทั้งนิคมอุตสาหกรรมของบริษัททั้งในประเทศไทยและเวียดนาม ดังนั้นบริษัทฯ คาดว่าภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อยู่ในระดับที่ควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการออกมาตรการรองรับการเดินทางระหว่างประเทศสำหรับกลุ่มธุรกิจ (Business Bubble) นั้น จะส่งผลให้ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมสามารถกลับมาเติบโตได้ในช่วงครึ่งปีหลังต่อเนื่องไปยังช่วงปีหน้าอีกด้วย

สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค มีการชะลอตัวลง ส่งผลให้บริษัทฯ  มีรายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1,015 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าในครึ่งปีหลังยอดจำหน่ายน้ำจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก จากการกลับมาเริ่มเปิดดำเนินการโครงการใหม่ของลูกค้าที่มีการชะลอในช่วงครึ่งปีแรกจากภาวะภัยแล้ง นอกเหนือจากนั้น บริษัทฯ เร่งการลงทุนในโครงการ Reclaimed Water เพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ส่งผลให้มีกำลังการผลิต Reclaimed Water ณ ปัจจุบัน ประมาณ 15ของความต้องการใช้น้ำของลูกค้าทั้งหมด ทำให้บริษัทฯ เพิ่มความสามารถในการทำกำไรตลอดจนเป็นการสร้างความยั่งยืนในการให้บริการเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า กลุ่มบริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการดำเนินงานากการลงทุนบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าไม่นับรวมกำไร/ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 496 ล้านบาท เนื่องจากกลุ่มธุรกิจ IPP ได้รับผลกระทบจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรทางบัญชีจากโรงไฟฟ้า Gheco-One ที่ลดลงจากหลายปัจจัย เช่น อัตราค่าความพร้อมจ่ายที่ลดลงตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ค่าเงินบาทที่แข็งตัวทำให้ได้รับค่าความพร้อมจ่ายที่ลดลง ทิศทางราคาถ่านหินที่ลดลง และการเริ่มจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 10% เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา แต่ด้วยผลการดำเนินการของโรงไฟฟ้าที่ยังคงมีความแข็งแกร่ง และภาระการชำระคืนเงินกู้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยที่ลดลงตามลำดับด้วยเช่นกัน ทำให้บริษัทฯยังคงได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในโครงการดังกล่าวในระดับที่สูงตามคาดการณ์ได้อย่างต่อเนื่อง  ในขณะที่ส่วนแบ่งกำไรของกลุ่มธุรกิจ SPP ในไตรมาส 2 ยังอยู่ในระดับเดียวกันกับช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยปริมาณยอดขายไฟฟ้ารวมของไตรมาส 2 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 1 ประมาณ 2% แต่เนื่องจากโรงไฟฟ้าจำนวน 3 แห่ง (จากทั้งหมด 8 แห่ง) มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในครึ่งปีแรก ทำให้ส่วนแบ่งกำไรของกลุ่มธุรกิจ SPP ในครึ่งปีแรกเมื่อรวมค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงตามแผนลดลงประมาณ 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรเพิ่มเติมจากโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ชลบุรี คลีน เอ็นเนอร์ยี่ (CCE) ซึ่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์มาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตลอดจนการทยอยเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการ Solar Rooftop ในช่วงครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นจาก 6 เมกะวัตต์ในช่วงปลายปี 2562 เป็น 22 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 39 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปี 2563 นี้ ส่งผลให้ยอดกำลังผลิตไฟฟ้าที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวมตามสัดส่วนการถือหุ้นแตะระดับ 592 เมกะวัตต์

 

ขณะเดียวกันธุรกิจดิจิทัล ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยภายหลังจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความสนใจในดิจิทัลแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัท ได้มีการลงนามในสัญญาการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ในการดูแลระบบเน็ตเวิร์ก และให้บริการเช่าพื้นที่วางเครื่องเซิร์ฟเวอร์จำนวน 109 ตู้ ตลอดจนบริษัท ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. ในการทดสอบระบบ 5G ร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายชั้นนำของประเทศภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของบริษัท