ตลาดหลักทรัพย์ฯมีแผน กระตุ้นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ บัญชีออมหุ้นไทย (TISA) ซื้อหุ้นรายตัวแล้ว เอาไปลดหย่อนภาษีในแต่ละปีได้ คล้ายโมเดลบัญชีการลงทุนปลอดภาษีของญี่ปุ่น (NISA) แต่มีเงื่อนไขว่า จะต้องถือหุ้นไปจนถึงวัยเกษียณ ถึงได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี NISA (Nippon Individual Savings Account) เป็นบัญชีออมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่รัฐบาลญี่ปุ่นจัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน โดยให้ สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับกำไรจากการลงทุนและเงินปันผล
ประเภทของ NISA
1. General NISA – สำหรับลงทุนในหุ้น กองทุนรวม และตราสารหนี้ โดย กำไรและเงินปันผลได้รับการยกเว้นภาษี ภายในวงเงินที่กำหนด
2. Tsumitate NISA – สำหรับลงทุนในกองทุนรวมที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาล เน้นการลงทุนระยะยาวแบบทยอยซื้อ
3. Junior NISA – สำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี มีลักษณะคล้าย General NISA แต่มีข้อจำกัดในการถอนเงิน
ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป ญี่ปุ่นได้ปรับปรุงระบบ NISA ใหม่ให้ ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา และเพิ่มวงเงินลงทุนที่ได้รับการยกเว้นภาษี ทำให้เป็นเครื่องมือที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว
ปัจจุบันนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)แบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ
1. นักลงทุนรายย่อย (Retail Investors)
- ประมาณ 2.5–3 ล้านบัญชี
- เป็นบัญชีซื้อขายของบุคคลธรรมดา ทั้งในและต่างประเทศ
- หมายเหตุ: จำนวนบัญชีอาจไม่เท่ากับจำนวนคน เนื่องจากนักลงทุน 1 คนสามารถเปิดได้หลายบัญชี
2. นักลงทุนสถาบัน (Institutional Investors)ประมาณ 500–600 ราย
- รวมถึงกองทุนรวม บริษัทประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย สถาบันการเงิน และกองทุนบำเหน็จบำนาญ
3. นักลงทุนต่างชาติ (Foreign Investors)
ประมาณ 30–40% ของมูลค่าซื้อขายรวม แบ่งเป็น ประเภทนักลงทุน นักลงทุนสถาบันต่างชาติและ นักลงทุนรายย่อยต่างชาติ
- ประเทศหลัก: สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และยุโรป
4. บัญชีซื้อขายส่วนตัวของบริษัทหลักทรัพย์ (Proprietary Trading)ประมาณ 40–50 บริษัท
- เป็นการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรของบริษัทหลักทรัพย์เอง สถิติเพิ่มเติม (2023) นักลงทุนรายย่อยไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง** เนื่องจากแอปพลิเคชันเทรดหุ้นออนไลน์ (เช่น FINNIX, Krungthai NEXT) นักลงทุน Gen Y และ Gen Zคิดเป็นกว่า 50% ของนักลงทุนรายย่อยใหม่