MGC ปักธงปี 68 เล็งสยายปีก 4 กลุ่มธุรกิจ ปั้นรายได้เพิ่ม

บมจ.มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือ MGC-ASIA ก้าวสู่ปีที่ 25 เดินหน้าตอกย้ำการเป็นผู้นำ LIFESTYLE MOBILITY ครบวงจร พร้อมประกาศยุทธศาสตร์ 3 ปี (2568-2570) เร่งขับเคลื่อน กลุ่มธุรกิจ สู่การพัฒนาแพลตฟอร์มตอบโจทย์ลูกค้า-พัฒนาบุคลากร-พัฒนาเทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อมุ่งสู่กลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืนด้าน CEO ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ เดินเกมรุกลุยธุรกิจ EV - Alpha X - Howden Maxi สร้างรายได้เพิ่มในอนาคต

 

ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2568 MGC-ASIA ก้าวสู่ปีที่ 25 ของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งขององค์กรและความสามารถในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในการเป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้แบบครบวงจร โดยในปีนี้ บริษัทฯ วางกลยุทธ์การขับเคลื่อนทางธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโต กลุ่มธุรกิจสู่ความยั่งยืน ผ่าน 3Ps ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักสู่ความสำเร็จ คือ PEOPLE : มุ่งพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถสูง มีทัศนคติที่มุ่งเน้นการให้บริการ และส่งเสริมศักยภาพองค์กรให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพPROCESS : พัฒนากระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สร้างมาตรฐานการดำเนินงานที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ โดยมุ่งปรับขั้นตอนการทำงานในส่วนต่างๆ ให้เหมาะสม ลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงานให้ทัดเทียมสากล และ PROFIT ขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมุ่งสร้างผลกำไรให้บริษัทฯ ผ่านการจำหน่ายยานยนต์รุ่นใหม่ๆ รวมถึงบริการต่างๆ แบบครบวงจร ผสานกับบริการหลังการขาย รวมถึงศูนย์ซ่อมสีตัวถัง 
และบริการดูแลรถยนต์ ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รถเช่า มีแผนนำเทคโนโลยีทันสมัย มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับฟลีตรถเช่า ทั้งระยะสั้น และระยะยาว รวมถึงเพิ่มจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าในฟลีตรถเช่าระยะยาว รองรับการเติบโตของลูกค้าองค์กร นำไปสู่การสร้างผลกำไรสูงสุด ท่ามกลางระบบนิเวศทางธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้วางยุทธศาสตร์การเติบโต ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.STRATEGIC GROWTH OBJECTIVES :โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นขับเคลื่อนการเติบโตผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจ ควบคู่กับแผนการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการสร้าง
ความน่าเชื่อถือและรักษาการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความประทับใจกับกลุ่มลูกค้าในทุกครั้ง
ที่เข้ามาใช้บริการ 

2. BUSINESS ECOSYSTEM SEGMENTS :สร้างแบรนด์ร่วม (Co-Branding) สู่การพัฒนา เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมถึงแผนการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก โดยบริษัทฯ จะร่วมกับ XPENG และ ZEEKR ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน เพื่อขยายตลาดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ และ 3. SUSTAINABILITY AND INNOVATION: 
ก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดปริมาณปล่อยคาร์บอน
เพื่อต่อยอดสู่พลังงานหมุนเวียน

ปี 2568 ทางบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการเพิ่มความได้เปรียบสูงสุด ให้ธุรกิจในกลุ่มการเงินประกันภัย และยานยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงการแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อน MGC-ASIA 
สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอนาคต สอดรับกับกลยุทธ์การขับเคลื่อนใน กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1. กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Mobility Retail) :บริษัทฯ ยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดรถพรีเมียม เพื่อครองอันดับ 1 
โดยเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลากหลายแบรนด์ดังอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเตรียมพัฒนา MGC-MOBILIFE แพลตฟอร์ม loyalty program ที่มอบสิทธิประโยชน์เหนือระดับ โดยใช้ระบบ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล
และปรับแต่งให้ลงตัวกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า 2. กลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขาย (Aftersales Service) : ปีนี้ บริษัทฯ เตรียมขยายสาขา MMS Car Service & Tire ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร (One-Stop Service) เพิ่มอีก 6 สาขา จากเดิม 22 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อขยายการให้บริการซ่อมสีและตัวถังยานยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) และเพิ่มบริการให้ครอบคลุมในหลากหลายพื้นที่ เพื่อสร้างอัตราการกลับมาใช้บริการของลูกค้าให้สูงขึ้น 3. กลุ่มธุรกิจให้บริการรถเช่าและพนักงานขับ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว (Car Rental and Driver Services) : กลุ่มบริษัทฯ วางแผนในการดำเนินธุรกิจ
ให้ครอบคลุมการเดินทางให้ครบวงจรทุกมิติ และปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์การให้บริการ 
ตามการเติบโตของการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังเพิ่มสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มที่ให้บริการลูกค้าองค์กรมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจที่มุ่งเน้นพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ MGC-ASIA Ecosystem 
เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ให้ทุกกลุ่มธุรกิจ และ 4. กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Other Services) :สำหรับธุรกิจบริการทางการเงินอย่างครบวงจร บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด ซึ่ง MGC-ASIA ร่วมทุนกับ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ในปีนี้ จะมุ่งเน้นการเติบโตจากการให้สินเชื่อ Wealth Lending ในอัตราที่เพิ่มขึ้น 
พร้อมปรับปรุงกระบวนการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) 
และควบคุมผลขาดทุนด้านเครดิต โดยการนำเสนอการแก้ปัญหาในการชำระหนี้ที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า 
เพื่อสร้างผลกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนบริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจบริการประกันภัย ชั้นแนวหน้า กลุ่มบริษัทฯ วางแผนกลยุทธ์ในปีนี้ ที่จะขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการ รักษาการเป็นโบรกเกอร์ระดับชั้นนำ 

 

อย่างไรก็ตาม จากแผนกลยุทธ์และเป้าหมายการเติบโตดังกล่าว สอดคล้องกับเป้าพันธกิจ 3 ปี (2568-2570 )ของ MGC-ASIA ที่จะนำพาบริษัทฯ สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน ผ่านธุรกิจใหม่ อย่าง AI- Powered Solutions รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร ผ่านการทำ ESG อย่างเป็นระบบ พร้อมความมุ่งมั่นในการต่อยอดความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าปัจจุบัน สร้างประสบการณ์พิเศษแบบเฉพาะตัว ผ่านการบริการ
ที่โดดเด่นและเหนือระดับ นำไปสู่ความพึงพอใจสูงสุด สำหรับลูกค้าทุกราย ภายใต้วิสัยทัศน์ ที่ต้องการเป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้แบบครบวงจร ภายใต้ระบบนิเวศทางธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ สร้างการเติบโต
อย่างยั่งยืนในอนาคต

สำหรับผลการดำเนินงานของ MGC-ASIA ในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 20,334 ล้านบาท               มีกำไรสุทธิ 145.60 ล้านบาท และ EBITDA ที่ระดับ1,631 ล้านบาท โดยไตรมาส 4/2567 (ตุลาคม-ธันวาคม 2567) บริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรได้สูงสุด โดยมีรายได้รวม 5,977 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32
เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567 ที่ผ่านมา(QoQ) และมีกำไรสุทธิ 95.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 888.40% (QoQ) ส่งผลให้มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) แตะ 468 ล้านบาท เติบโต 23% (QoQ) 

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ในปีที่ผ่านมานับว่ามีความท้าทาย โดยหากอ้างอิงจากสภาอุตสาหกรรม
แห่งประเทศไทย (...) ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ มีอัตราส่วนลดลงประมาณ 26% เทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ MGC-ASIA รับมือกับสถานการณ์ได้น่าพอใจ โดยมีอัตราส่วนลดลงเพียง 10% เป็นผลมาจากรถยนต์ไฟฟ้าก็มีการเติบโตอย่างมีนัย ทั้งแบรนด์ XPENG และ ZEEKR ที่ได้การตอบรับ
จากลูกค้าเป็นอย่างดี และมียอดส่งมอบรถมากกว่า 1,000 คัน จากปีก่อนที่ภาพรวมการส่งมอบรถยนต์ใหม่และรถยนต์มือสองประมาณ9,000 คัน นอกจากนี้  วันที่ 31 ธันวาคม 2567บริษัทฯ มีสินค้ารอส่งมอบ (Backlog) แบ่งเป็นXPENG จำนวน 767 คันZEEKR จำนวน 230 คัน, Rolls-Royce จำนวน 8 คัน, BMW จำนวน42 คัน, MINI Cooper จำนวน 78 คัน, HONDA จำนวน 337 คัน, Harley-Davidson จำนวน 50 คัน และ BMW Motorrad จำวน 41 คัน และในไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ ยังเตรียมส่งมอรถยนต์ XPENG X9 รถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ตอัจฉริยะ พวงมาลัยขวาล็อตแรกของโลก เพื่อต่อยอดผลการดำเนินงานให้เติบโต
อย่างแข็งแกร่ง

นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะแบรนด์ XPENG จำนวน 12 แห่งทั่วประเทศ และ ZEEKR by Z Mobility Plus อีก 2 สาขา คือ ศรีนครินทร์ และวิภาวดี ขณะที่ธุรกิจบริการหลังการขาย รวมถึงศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง Tesla Approved Body Shop (TAB) ที่ได้รับความไว้วางใจจาก TESLA ให้เป็นผู้บริการซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ไฟฟ้า TESLA ก็อยู่ในช่วงขยายตัว
และมีกำไรต่อเนื่อง จากการเพิ่มจำนวนของรถยนต์ที่เข้ารับบริการ 19%

ช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจาก คอนติเทนทอล ไทรส์ ผู้ผลิตยางรถยนต์ระดับโลก 
ในการร่วมมือกันทำโครงการที่เอื้อประโยชน์ให้กับลูกค้า พร้อมตอบแทนสังคมอย่างยั่งยืน อีกทั้งมีการขยายธุรกิจสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่เราได