ก.ล.ต. แผนยุทธศาสตร์ 3 ปี รัฐบาลร่วม ก.ล.ต. สร้าง Trust and Confidence ตลาดทุนไทย ภารกิจหลักยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย
ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แถลงแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2568 – 2570 ให้ความสำคัญกับยกระดับความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนการสร้างคุณค่าและความโดดเด่นให้บริษัทจดทะเบียนไทย มุ่งมั่นพัฒนาตลาดทุนไทยให้รองรับความต้องการของธุรกิจที่หลากหลายและเป็นตลาดทุนที่ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าถึงได้ ตลอดจนรองรับการปรับตัวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว
ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ กล่าวอีกว่า การสร้างความเชื่อมั่นและมุมมองต่อตลาดทุนไทยถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ต้องให้ความสำคัญ และเป็นความท้าทายที่ตลาดทุนไทยต้องเผชิญ รวมไปถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย และที่สำคัญที่ต้องทำคือการดึงดูดการระดมทุนและผลักดันความสามารถในการแข่งขัน
“ในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับกระบวนการที่สังเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เช่น การศึกษาแนวโน้มและนโยบายตลาดทุนของต่างประเทศ ความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล การทำวิจัยเชิงลึก และการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนได้ใช้ประโยชน์จากตลาดทุนตามเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. รวมทั้งเพื่อให้ผู้ร่วมตลาด ตลอดจนผู้ลงทุนและประชาชน ได้เห็นทิศทางในการกำกับดูแลและกำหนดนโยบายในการพัฒนาตลาดทุนในระยะ 3 ปีข้างหน้า ซึ่ง ก.ล.ต. มุ่งหมายขับเคลื่อนแผนดังกล่าว โดยร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดความสมดุลและสอดรับกับบริบทของประเทศ อันจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการส่งเสริมความเชื่อมั่นและความเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศต่อไป”
สำหรับแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2568 – 2570 มีเป้าหมายหลัก 5 ด้าน ได้แก่
(1) ตลาดทุนได้รับความเชื่อมั่น (Trust & Confidence)
(2) ตลาดทุนเป็นแรงขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Technology)
(3) ตลาดทุนเป็นกลไกสู่ความยั่งยืน (Sustainable Capital Market)
(4) ผู้ลงทุนมีสุขภาพทางการเงินที่ดี (Long-term Investment)
(5) ศักยภาพในการดำเนินการตามพันธกิจ (SEC Excellence)
“เป้าหมายทั้ง 5 ด้าน เป็นเป้าหมายที่ยกต่อเนื่องมาจากปีที่ผ่านมา เพราะยังสอดคล้องกับพันธกิจของ ก.ล.ต. ทั้งด้านการกำกับดูแลและการพัฒนา แต่ในปีนี้มีการปรับน้ำหนักเป้าหมายในแต่ละด้านให้สมดุลกันมากขึ้น เพื่อให้แผนงานมีความต่อเนื่องและสอดรับระหว่างเป้าหมายแต่ละด้านได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น” เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าว
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้มีการยกระดับระบบนิเวศและโครงสร้างพื้นฐานรองรับตลาดทุนดิจิทัล รวมทั้งส่งเสริมให้ตลาดทุนไทยเป็นกลไกสำคัญสู่ความยั่งยืนและเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ตลอดจนการยกระดับศักยภาพของ ก.ล.ต. ในการกำกับดูแลและการตรวจสอบ การใช้เทคโนโลยี ข้อมูลและนวัตกรรมในกระบวนการทำงาน รวมถึงการพัฒนาทักษะและความพร้อมของบุคลากรเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้เกี่ยวข้องได้อย่างทันการณ์และมีประสิทธิภาพ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในช่วงปาฐกถาว่า “ตลาดทุนจะต้องเป็นกลไกสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน เศรษฐกิจและตลาดทุนจะทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาครัฐจะต้องเป็นผู้นำทางในการเสริมสร้างศักยภาพและโอกาสการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ โดยในส่วนของตลาดทุน สิ่งที่ภาครัฐเห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญคือ Trust & Confidence โดยต้องมีกระบวนการการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้น ลงโทษผู้กระทำผิดได้รวดเร็ว และจะเร่งขั้นตอนการเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มอํานาจการสอบสวนของ ก.ล.ต. โดยเฉพาะกรณีที่มีผลกระทบสูง (high impact) รวมถึงการยกระดับในเรื่องต่างๆ ทั้งการเปิดเผยข้อมูลและการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน นอกจากนี้ ในด้านสินทรัพย์ดิจิทัล อยากจะเห็นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมไปพร้อมกับการคุ้มครองผู้ลงทุน และเห็นว่าการส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีคุณภาพเป็นเรื่องสำคัญ โดยทางภาครัฐและภาคตลาดทุนจะร่วมมือกันพัฒนาตลาดทุน เพื่อนำไปสู่ตลาดทุนที่เข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน”