ลดหย่อนภาษีปี 2567: สิทธิประโยชน์ที่ควรรู้เพื่อลดภาระภาษี

    การลดหย่อนภาษีเป็นสิทธิที่ผู้เสียภาษีทุกคนสามารถใช้เพื่อช่วยลดภาระทางการเงินในแต่ละปี สำหรับปี 2567 รัฐบาลยังคงสนับสนุนการลดหย่อนภาษีในหลากหลายหมวดหมู่ เพื่อส่งเสริมการออม การลงทุน และการดูแลครอบครัว รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ

หลักเกณฑ์ทั่วไปของการลดหย่อนภาษี

    ผู้เสียภาษีสามารถนำค่าใช้จ่ายหรือเงินลงทุนในหมวดต่างๆ มาลดหย่อนภาษีได้ โดยต้องอยู่ในเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด ทั้งนี้ ควรตรวจสอบหลักฐานเอกสารและจัดเก็บใบเสร็จหรือหลักฐานการชำระเงินให้ครบถ้วนเพื่อยื่นภาษีได้อย่างถูกต้อง

หมวดหมู่การลดหย่อนภาษีปี 2567

1. การลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว

  • ค่าลดหย่อนส่วนบุคคล: ผู้เสียภาษีได้รับสิทธิลดหย่อน 60,000 บาท
  • คู่สมรสที่ไม่มีรายได้: ลดหย่อนได้ 60,000 บาท
  • บุตร: ลดหย่อนบุตรคนละ 30,000 บาท (บุตรคนที่ 2 เป็นต้นไปในปี 2561 ลดหย่อนได้เพิ่มอีก 30,000 บาท)
  • ค่าเลี้ยงดูบิดามารดา: ลดหย่อนได้ 30,000 บาทต่อคน (ต้องมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปและมีรายได้ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด)

2. การออมและการลงทุน

  • กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF): ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) และกองทุนรวมเกษียณอายุ (RMF): ลดหย่อนตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท (รวมกับ SSF และเบี้ยประกันบำนาญ)
  • เบี้ยประกันชีวิต: ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท (สำหรับประกันชีวิตทั่วไป)

3. ค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

  • ช้อปดีมีคืน: สำหรับค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าหรือบริการในประเทศ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30,000 บาท โดยต้องเก็บใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ
  • การท่องเที่ยวในประเทศ: ค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาท

4. การดูแลสุขภาพและการศึกษา

  • ค่าประกันสุขภาพ: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท
  • ค่าเล่าเรียนบุตร: ลดหย่อนได้สูงสุด 15,000 บาทต่อบุตรหนึ่งคน

5. การบริจาคเพื่อสาธารณกุศล

  • เงินบริจาคทั่วไป: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้สุทธิ
  • เงินบริจาคสนับสนุนการศึกษา: ลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนที่บริจาค แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้สุทธิ

เคล็ดลับในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี

  1. ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ทุกปี: หลายครั้งที่รัฐบาลอาจปรับเปลี่ยนเงื่อนไขหรือเพิ่มหมวดหมู่ใหม่ เช่น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
  2. เก็บเอกสารให้ครบถ้วน: ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี หรือหลักฐานการโอนเงินที่เกี่ยวข้องควรจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ
  3. วางแผนการลงทุนล่วงหน้า: หากต้องการใช้สิทธิลดหย่อนจากการลงทุน เช่น SSF หรือ RMF ควรวางแผนตั้งแต่ต้นปี

การยื่นภาษีสำหรับปี 2567 เปิดรับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป อย่าลืมเตรียมตัวและศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อประโยชน์ของคุณเอง!