MTL 20 มีนานี้ เริ่มใช้ Co-Payment

MTL 20 มีนานี้ เริ่มใช้ Co-Payment ในปี 68 มองว่าธุรกิจประกันสุขภาพโตคู่ GDP ไทย


นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL กล่าวถึงประเด็นการทำประกันรูปแบบ Co-Payment ที่จะเป็นหลักเกณฑ์ที่เมื่อถึงเงื่อนไขแล้วบริษัทประกันและผู้ถือประกันจะต้องมีการชำระค่าใช้จ่ายร่วมกันสัดส่วนขึ้นอยู่กับทางแต่ละบริษัทประกันเป็นผู้กำหนด 


โดยทางเมืองไทยประกันชีวิต จะเริ่มนำมาใช้ในวันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไปและผู้ถือประกันจะเป็นผู้ออก 30% ที่เหลือจะเป็นทางบริษัทเป็นผู้ช่วยออก อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้ Co-Payment ไม่มีผลต่อกลุ่มลูกค้าเดิมเมืองไทยประกันชีวิตที่มีกรมธรรม์ก่อนวันที่ 20 มีนาคม 2568 รวมไปถึงไม่มีผลต่อการต่ออายุกรมธรรม์ของลูกค้าเก่าแต่อย่างใด มีผลเฉพาะลูกค้าใหม่ และกรมธรรม์ใหม่เท่านั้น


อย่างไรก็ตาม คุณสาระฝากให้ติดตามฟังการแถลง รายละเอียดเงื่อนไข Co-Payment เพิ่มเติมจากทางสมาคมประกันชีวิตไทยในวันที่ 6 ก.พ. 2568 นี้นั่นเอง


คุณสาระ มองว่าในปี 2568 ทางด้านความท้าทายและภาพรวมธุรกิจประกันสุขภาพ มองว่ายังมองธุรกิจประกันสุขภาพยังคงโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีแรงหนุนจากสัดส่วนของกลุ่มประกันโรคร้ายแรงยังมียอดเติบโตถึง 24% นอกจากนี้กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป และมีความต้องการในผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพสูงขึ้น ดังนั้นคุณสาระ จึงมองว่าปี 2568 นี้เติบโตอย่างน้อยเทียบเท่ากับการขยายตัวของ GDP ประเทศ


ทั้งนี้ ทางด้านผลประกอบการ ในปี 2567 เมืองไทยประกันชีวิต มีเบี้ยประกันภัยรับรวมกว่า 71,800  ล้านบาท  เบี้ยประกันภัยรับใหม่เติบโต 13%  ซึ่งเป็นการเติบโต ในกลุ่มสินค้าหลัก อาทิ Shield Life (ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบภายในระยะเวลาและประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์) เติบโต 42% และแบบประกันคุ้มครอง โรคร้ายแรง (รายเดี่ยว) เติบโต 24% เป็นต้น ด้านคะแนน NPS (Net Promoter Score) สูงขึ้นจาก  58 คะแนน เป็น 75 คะแนน  ขณะที่ธุรกิจในภูมิภาค CLMV ยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันมีการขยายการลงทุนใน 3 ประเทศ อย่าง กัมพูชา ลาว และ เวียดนาม


โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน ณ สิ้นปี 2567 มากกว่า 350% ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนดที่ 140%  บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และความแข็งแกร่งทางการเงินจาก S&P Global Ratings ที่ระดับ BBB+ (Stable Outlook)  และ Fitch Ratings ที่ระดับ A- และ AAA(tha) (Stable Outlook)


สำหรับแผนการดำเนินานในปี  2568  นี้  เมืองไทยประกันชีวิตยังคงตอกย้ำตัวตนในการเป็นแบรนด์แห่งการสร้างความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง  พร้อมยกระดับการส่งมอบความสุขผ่านกลยุทธ์ “Boost Your Happiness by Our People” บูสท์ความสุขของคุณด้วยคนของเมืองไทยประกันชีวิต  ด้วยการเดินหน้าพัฒนาองค์กรในทุกภาคส่วน  โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าทุกท่านด้วยความเป็นมืออาชีพ (Professionalism & Expertise)  ความโปร่งใสและความสะดวกสบาย (Transparency & Convenience)  และความไว้วางใจ (Commitment & Trust)  ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในทุกช่วงชีวิต ประสบการณ์การบริการแบบไร้รอยต่อ (Seamless Experience) และคำมั่นสัญญาตลอดชีวิต (Lifelong Commitment) ผสานกันอย่างลงตัวเพื่อตอบโจทย์ในทุกความเป็นคุณ  


นายสาระ กล่าวว่า  ธุรกิจประกันชีวิต เป็นธุรกิจที่ให้ความคุ้มครองแก่ลูกค้าในระยะยาว ดังนั้น เมืองไทยประกันชีวิตจึงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกก้าว  ภายใต้การกำกับดูแลกิจการ และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงการสร้างสมดุลทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติบรรษัทภิบาล (ESG)  โดยเฉพาะในส่วนของมิติสังคม บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าในการพัฒนาแบบประกันภัยที่ช่วยตอบโจทย์การเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกคน (Democratize Insurance)  พร้อมสร้างความรู้ด้านการวางแผนการเงินและประกันภัย (Financial & Insurance Literacy) ให้กับประชาชนทั่วไป และการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน 


“ในปีนี้เราตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นปีที่ สีบานเย็นจะบานสะพรั่งทั่วประเทศ โดยเมืองไทยประกันชีวิตจะยกระดับความสุขให้กับทุกคน ทั้งลูกค้า พาร์ทเนอร์ พนักงานและฝ่ายขายของเรา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ผ่านผลิตภัณฑ์ บริการ และช่องทางการขายต่าง ๆ   สีบานเย็นจะรวมพลังกันอย่างแข็งแกร่ง เพื่อส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้ลูกค้าคนสำคัญของเราทุกคน” นายสาระ กล่าว