HSBC แนะเพิ่มการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ อินเดีย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น
คุณเจมส์ เชียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย (chief Investment Officer, Southeast Asia and India) ให้น้ำหนักการลงทุนในประเทศอินเดีย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น โดยแนะนำให้ลงน้ำหนักน้อยลงในการลงทุนประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆใน ภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งยังให้รอสัญญานจากผลประกอบการบริษัทในประเทศไทยเติบโตก่อนจึงมองว่ามีแนวโน้มขาขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยเติบโตดีกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากการสนับสนุนจากผู้บริโภค และความต่อเนื่องจากนโยบายการกระตุ้นทางเศรษฐกิจจากทางวภาครัฐ อย่าง ดิจิทัล วอลเล็ต รวมไปถึงการส่งออกที่ดีขึ้น แต่ก็ยังมีคว่ามเสี่ยงจากนโยบายกำแพงภาษีอยู่ซึ่งหากไม่เกิดขึ้นจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศไทย
ในขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย มองว่าเนื่องจากแรงกดดันอัตราหนี้ครัวเรือนสูง จึงจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ในขณะที่ ค่าเงินบาทไทยได้รับผลกระทบจากค่าเงินดอลลาร์ คาดว่าจะแตะ 36 บาทในช่วงปลายปี
ทางด้านการรับตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ในวันที่ 20 มกราคม 68 ที่ผ่านมา ทางคุณเจมส์ มองว่าที่ผ่านในช่วง 6 เดือนแรก หลังการรับตำแหน่ง เศรษฐกิจประเทศสหรัฐฯจะมีแนวโน้มเติบโตดี ถึงแม้นโยบายการเก็บภาษีศุลกากรจะเป็นข่าวร้าย ในขณะเดียวกันก็มีข่าวดีที่ในวันรับตำแหน่งยังไม่ได้มีการกล่าวถึงนโยบายการขึ้นภาษีในทันที อย่างไรก็ตามนโยบายการขึ้นภาษีจะเข้ามากีดกันทางการค้าต่อประเทศที่ส่งผลเรื่องภาษีต่อสหรัฐฯ สูงกว่าประเทศอื่น อย่าง ประเทศจีน เม็กซิโก เวียดนาม โดยที่คุณเขมส์ มองว่าประเทศไทยนั้นส่งผลอยู่ในระดับกลางๆไม่น่าเป็นห่วง
นอกจากนี้ สถานการณ์เงินเฟ้อในอเมริกาคาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยคาดว่าจะมาจากนโยบายการลดภาษี และนโยบายกีดกันคนเข้าเมือง อย่างไรก็ตาม จากนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมโรงงาน ส่งผลให้ราคาน้ำมัน และพลังงงานในประเทศจะลดลง
ในส่วนการแนะนำการลงทุน แนะนำเน้นลงทุนหุ้นกลุ่มสหรัฐฯ รองลงมาเป็นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ อย่างประเทศอินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ถัดมาเป็น พันธบัตร (Bond) แนะนำให้คงสัดส่วนไว้ ตามมาด้วยแบ่งลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่น อย่างกลุ่มโภคภัณฑ์ เป็นต้น
ทั้งนี้จากการสำรวจ ปี 2567 นักลงทุนได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 14% โดยมองว่าในปี 2568 คาดว่าผลตอบแทนการลงทุนอาจจะต่ำกว่า 14% นั่นเอง